หมายเลขฐานข้อมูล 178.
أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، أَخْبَرَهُ أَنَّ أَبَا سُفْيَانَ بْنَ حَرْبٍ أَخْبَرَهُ أَنَّ هِرَقْلَ أَرْسَلَ إِلَيْهِ فِي رَكْبٍ مِنْ قُرَيْشٍ ـ وَكَانُوا تُجَّارًا بِالشَّأْمِ ـ فِي الْمُدَّةِ الَّتِي كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مَادَّ فِيهَا أَبَا سُفْيَانَ وَكُفَّارَ قُرَيْشٍ، فَأَتَوْهُ وَهُمْ بِإِيلِيَاءَ فَدَعَاهُمْ فِي مَجْلِسِهِ، وَحَوْلَهُ عُظَمَاءُ الرُّومِ ثُمَّ دَعَاهُمْ وَدَعَا بِتَرْجُمَانِهِ فَقَالَ أَيُّكُمْ أَقْرَبُ نَسَبًا بِهَذَا الرَّجُلِ الَّذِي يَزْعُمُ أَنَّهُ نَبِيٌّ فَقَالَ أَبُو سُفْيَانَ فَقُلْتُ أَنَا أَقْرَبُهُمْ نَسَبًا. فَقَالَ أَدْنُوهُ مِنِّي، وَقَرِّبُوا أَصْحَابَهُ، فَاجْعَلُوهُمْ عِنْدَ ظَهْرِهِ. ثُمَّ قَالَ لِتَرْجُمَانِهِ قُلْ لَهُمْ إِنِّي سَائِلٌ هَذَا عَنْ هَذَا الرَّجُلِ، فَإِنْ كَذَبَنِي فَكَذِّبُوهُ. فَوَاللَّهِ لَوْلاَ الْحَيَاءُ مِنْ أَنْ يَأْثِرُوا عَلَىَّ كَذِبًا لَكَذَبْتُ عَنْهُ، ثُمَّ كَانَ أَوَّلَ مَا سَأَلَنِي عَنْهُ أَنْ قَالَ كَيْفَ نَسَبُهُ فِيكُمْ قُلْتُ هُوَ فِينَا ذُو نَسَبٍ. قَالَ فَهَلْ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ مِنْكُمْ أَحَدٌ قَطُّ قَبْلَهُ قُلْتُ لاَ. قَالَ فَهَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ لاَ. قَالَ فَأَشْرَافُ النَّاسِ يَتَّبِعُونَهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَقُلْتُ بَلْ ضُعَفَاؤُهُمْ. قَالَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ قُلْتُ بَلْ يَزِيدُونَ. قَالَ فَهَلْ يَرْتَدُّ أَحَدٌ مِنْهُمْ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ قُلْتُ لاَ. قَالَ فَهَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ قُلْتُ لاَ. قَالَ فَهَلْ يَغْدِرُ قُلْتُ لاَ، وَنَحْنُ مِنْهُ فِي مُدَّةٍ لاَ نَدْرِي مَا هُوَ فَاعِلٌ فِيهَا. قَالَ وَلَمْ تُمْكِنِّي كَلِمَةٌ أُدْخِلُ فِيهَا شَيْئًا غَيْرُ هَذِهِ الْكَلِمَةِ. قَالَ فَهَلْ قَاتَلْتُمُوهُ قُلْتُ نَعَمْ. قَالَ فَكَيْفَ كَانَ قِتَالُكُمْ إِيَّاهُ قُلْتُ الْحَرْبُ بَيْنَنَا وَبَيْنَهُ سِجَالٌ، يَنَالُ مِنَّا وَنَنَالُ مِنْهُ. قَالَ مَاذَا يَأْمُرُكُمْ قُلْتُ يَقُولُ اعْبُدُوا اللَّهَ وَحْدَهُ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَاتْرُكُوا مَا يَقُولُ آبَاؤُكُمْ، وَيَأْمُرُنَا بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ وَالصِّلَةِ. فَقَالَ لِلتَّرْجُمَانِ قُلْ لَهُ سَأَلْتُكَ عَنْ نَسَبِهِ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ فِيكُمْ ذُو نَسَبٍ، فَكَذَلِكَ الرُّسُلُ تُبْعَثُ فِي نَسَبِ قَوْمِهَا، وَسَأَلْتُكَ هَلْ قَالَ أَحَدٌ مِنْكُمْ هَذَا الْقَوْلَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقُلْتُ لَوْ كَانَ أَحَدٌ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ قَبْلَهُ لَقُلْتُ رَجُلٌ يَأْتَسِي بِقَوْلٍ قِيلَ قَبْلَهُ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، قُلْتُ فَلَوْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ رَجُلٌ يَطْلُبُ مُلْكَ أَبِيهِ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقَدْ أَعْرِفُ أَنَّهُ لَمْ يَكُنْ لِيَذَرَ الْكَذِبَ عَلَى النَّاسِ وَيَكْذِبَ عَلَى اللَّهِ، وَسَأَلْتُكَ أَشْرَافُ النَّاسِ اتَّبَعُوهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَذَكَرْتَ أَنَّ ضُعَفَاءَهُمُ اتَّبَعُوهُ، وَهُمْ أَتْبَاعُ الرُّسُلِ، وَسَأَلْتُكَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ فَذَكَرْتَ أَنَّهُمْ يَزِيدُونَ، وَكَذَلِكَ أَمْرُ الإِيمَانِ حَتَّى يَتِمَّ، وَسَأَلْتُكَ أَيَرْتَدُّ أَحَدٌ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الإِيمَانُ حِينَ تُخَالِطُ بَشَاشَتُهُ الْقُلُوبَ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ يَغْدِرُ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الرُّسُلُ لاَ تَغْدِرُ، وَسَأَلْتُكَ بِمَا يَأْمُرُكُمْ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تَعْبُدُوا اللَّهَ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَيَنْهَاكُمْ عَنْ عِبَادَةِ الأَوْثَانِ، وَيَأْمُرُكُمْ بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ. فَإِنْ كَانَ مَا تَقُولُ حَقًّا فَسَيَمْلِكُ مَوْضِعَ قَدَمَىَّ هَاتَيْنِ، وَقَدْ كُنْتُ أَعْلَمُ أَنَّهُ خَارِجٌ، لَمْ أَكُنْ أَظُنُّ أَنَّهُ مِنْكُمْ، فَلَوْ أَنِّي أَعْلَمُ أَنِّي أَخْلُصُ إِلَيْهِ لَتَجَشَّمْتُ لِقَاءَهُ، وَلَوْ كُنْتُ عِنْدَهُ لَغَسَلْتُ عَنْ قَدَمِهِ. ثُمَّ دَعَا بِكِتَابِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الَّذِي بَعَثَ بِهِ دِحْيَةُ إِلَى عَظِيمِ بُصْرَى، فَدَفَعَهُ إِلَى هِرَقْلَ فَقَرَأَهُ فَإِذَا فِيهِ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ. مِنْ مُحَمَّدٍ عَبْدِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ إِلَى هِرَقْلَ عَظِيمِ الرُّومِ. سَلاَمٌ عَلَ
อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส ได้บอกกับเขา (ผู้รายงาน)ว่า อบูซุฟยาน บินฮัรบ์ ได้บอกกับเขาว่า จักรพรรดิ์ เฮราคลิอุส (แห่งโรมัน) ทรงรับสั่งให้เรียกเขากับขบวนพ่อค้าจากกุรอยซ์ที่ไปค้าขายยังแคว้นชาม (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศชีเรีย,ปาเลสไตน์,เลบานอน และจอร์แดน) ให้เข้าเฝ้าขณะนั้นเป็นช่วงระยะเวลาของการทำสัญญาสงบศึกที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำไว้กับ อบูซุฟยานและชาวกุรอยช์ที่ปฏิเสธการศรัทธา ดังนั้นพวกเขา (อบูซุฟยานกับพวก) จึงไปเข้าเฝ้าพระองค์ ณ.เมืองอีลียาอ์ (ปัจจุบันคือกรุงเยรูซาเล็ม) โดยพระองค์ได้เชิญพวกเขาไปที่ท้องพระโรง ที่นั่นมีบรรดาอำมาตย์โรมันรายล้อมพระองค์อยู่, พระองค์ทรงรับสั่งเรียกพวกเขาเข้าพบพร้อมทั้งรับสั่งให้เรียกล่ามของพระองค์มาด้วย
พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่มีเชื้อสายใกล้ชิดมากที่สุดกับชายผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นนบี อบูซุฟยานได้ตอบว่า ฉันมีเชื้อสายใกล้ชิดกับเขามากที่สุด พระองค์ตรัสว่า ให้เขา (อบูซุฟยาน) เข้ามาใกล้ๆข้า และให้พรรคพวกของเขาเข้ามาด้วยแต่ให้อยู่ด้านหลัง แล้วพระองค์ก็ตรัสกับล่ามของพระองค์ว่า บอกกับพวกเขาซิว่า ข้าจะถามพวกเขาเกี่ยวกับชายผู้นี้ (คือถามเกี่ยวกับท่านนบี) ถ้าเขา (อบูซุฟยาน) ตอบข้าด้วยความมดเท็จ ก็ให้พรรคพวกของเขาแย้งว่าเขาพูดเท็จ เขากล่าวว่า หากไม่ใช่เพราะความอายที่เกรงว่าพรรคพวกของฉันจะประณามฉันละก็ ฉันก็คงโกหกในเรื่องของท่านนบีไปแล้ว
คำถามแรกที่พระองค์ทรงถามฉันด้วยการตรัสว่า ชาติตระกูลของเขา (ท่านนบี) ในหมู่พวกเจ้าเป็นเช่นใด ฉันตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงในหมู่พวกเรา พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเจ้าเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรพบุรุษของเขาเคยมีใครเป็นกษัตริย์ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรดาผู้ที่ภักดีต่อเขานั้นเป็นคนชั้นสูงหรือคนระดับล่าง ฉันตอบว่า พวกเขาเป็นคนระดับล่าง พระองค์ตรัสว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือลดลง ฉันตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้น พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเขาที่ออกจากศาสนาเนื่องจากไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาพูดเท็จก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า เขาเคยผิดสัญญาไหม ฉันตอบว่า ไม่เคยครับ ขณะนี้พวกเรากับเขาอยู่ระหว่างสัญญาสงบศึก แต่เราไม่รู้ว่า ต่อไปเขาจะละเมิดสัญญาหรือไม่ เขา (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า ฉันไม่สามารถที่จะสอดแทรกคำพูดใดๆ ที่เป็นเท็จได้เลย พระองค์ถามต่อว่า พวกเจ้าเคยทำสงครามกับเขาไหม ฉันตอบว่า เคยครับ พระองค์ตรัสว่า แล้วผลเป็นเช่นใดบ้าง ฉันตอบว่า บางครั้งเขาก็มีชัยชนะเหนือพวกเรา และบางครั้งเราก็มีชัยชนะเหนือเขา พระองค์ตรัสว่า เขาใช้ให้พวกเจ้าทำอะไรบ้าง ฉันตอบว่า เขาบอกกับพวกเราว่า จงสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวและอย่าได้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเจ้าจงละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเจ้ากล่าวกัน เขาใช้เราให้ทำละหมาด,ให้พูดความจริง, รู้จักให้อภัย, และให้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ
พระองค์ได้ตรัสแก่ล่ามของพระองค์ว่า บอกเขาซิว่า ที่ข้าถามเจ้าเกี่ยวกับเชื้อสายวงศ์วานของเขา แล้วเจ้าตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงศักดิ์ นั่นแหละ (ชาติตระกูลของ) บรรดาศาสนทูตทุกคนที่ถูกส่งมาท่ามกลางกลุ่มชนที่มีชาติตระกูลสูง และที่ข้าถามเจ้าว่า ในหมู่พวกเจ้าเคยมีใครเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี, ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า หากมีใครสักคนเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้มาก่อน ฉันก็จะบอกว่า เขาเพียงแค่เรียกร้องตามที่ (วงศ์วานของเขา) ได้เรียกร้องมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า บรรพบุรุษของเขามีใครเคยเป็นกษัตริย์ไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคยมี, ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า หากบรรพบุรุษคนใดของเขาเคยเป็นกษัตริย์ ฉันก็จะบอกว่า เขาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อการเป็นกษัตริย์ตามบรรพบุรุษ พระองค์ตรัสว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาโกหกก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคย ฉัน (อบูซุฟยาน) จึงรู้ว่า ผู้ที่ไม่เคยโกหกต่อมนุษย์จะเป็นผู้อ้างเท็จต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร พระองค์ตรัสว่า ที่ข้าถามเจ้าว่า ผู้ที่เชื่อตามเขาเป็นชนชั้นสูงหรือเป็นคนระดับล่าง เจ้าก็ตอบว่า เป็นคนระดับล่าง คนอย่างนี้แหละที่ปฏิบัติตามบรรดารอซูล, พระองค์ตรัสว่า และที่ข้าถามเจ้าว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง เจ้าก็ตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้แหละคือเรื่องราวของการศรัทธาจนกว่ามันจะครบถ้วนสมบูรณ์ และที่ข้าถามเจ้าว่า มีคนใดที่ออกจากศาสนาด้วยความไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี นี่แหละคือความปิติยินดีที่ฝังรากลึกในหัวใจ แล
บันทึกโดย
บุคอรีย์
สถานะหะดีษ
เศาะฮีฮฺ
ตัครีจหะดีษ
บุคคอรี/หมวดที่1/บทที่6/ฮะดีษเลขที่7
หมายเหตุ ข้อความจากนี้ * รายงานโดย ซอและห์ อิบนุกัยซาน, ยูนุส, มะอ็มัร จากท่านซุฮ์รีย์
อ้างอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่ 51,2681,2804,2941,2978,3174,4553,5980,6260,7196,7541