icon
Al-Hadith     الحديث‎
Admin

99 รายการ

1.

หมายเลขฐานข้อมูล 271

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو، قَالَ تَخَلَّفَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم فِي سَفَرٍ سَافَرْنَاهُ فَأَدْرَكَنَا وَقَدْ أَرْهَقْنَا الصَّلاَةَ صَلاَةَ الْعَصْرِ وَنَحْنُ نَتَوَضَّأُ، فَجَعَلْنَا نَمْسَحُ عَلَى أَرْجُلِنَا، فَنَادَى بِأَعْلَى صَوْتِهِ ‏"‏ وَيْلٌ لِلأَعْقَابِ مِنَ النَّارِ ‏"‏‏.‏مَرَّتَيْنِ أَوْ ثَلاَثًا‏.‏

อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เดินทางตามหลังพวกเรามา,ในการเดินทางครั้งหนึ่ง และมาทันพวกเราตอนที่เวลาละหมาดอัศริ มาถึงพอดี, ขณะที่พวกเรากำลังอาบน้ำละหมาดโดยเช็ดเท้าของพวกเราอยู่นั้น ท่านได้ตะโกนเสียงดังสองหรือสามครั้งว่า “ความวิบัติจะประสบกับส้นเท้าทั้งหลายจากไฟนรก” หมายเหตุ ฮะดีษบทนี้เป็นคำห้ามเช็ดเท้าในขณะอาบน้ำละหมาด (หมายถึงขณะที่อยู่ในสภาพเท้าเปล่า) แต่อนุมัติให้เช็ดได้สำหรับผู้ที่สวมโค๊ฟ ซึ่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นผู้รายงานฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
2.

หมายเลขฐานข้อมูล 270

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ كَانَ إِذَا تَكَلَّمَ بِكَلِمَةٍ أَعَادَهَا ثَلاَثًا حَتَّى تُفْهَمَ عَنْهُ، وَإِذَا أَتَى عَلَى قَوْمٍ فَسَلَّمَ عَلَيْهِمْ سَلَّمَ عَلَيْهِمْ ثَلاَثًا‏.‏

อนัส รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้น “เมื่อท่าน (เน้น) คำพูดใดท่านก็จะย้ำคำนั้นสามครั้ง และเมื่อท่านไปพบกลุ่มชนชนใด ท่านก็จะขออนุญาตโดยกล่าวสลามแก่พวกเขาสามครั้ง”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
3.

หมายเลขฐานข้อมูล 269

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم أَنَّهُ كَانَ إِذَا سَلَّمَ سَلَّمَ ثَلاَثًا، وَإِذَا تَكَلَّمَ بِكَلِمَةٍ أَعَادَهَا ثَلاَثًا

อนัส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเมื่อท่านขออนุญาต (เข้าบ้านผู้ใด) ท่านจะกล่าวสลามสามครั้ง และเมื่อท่านเน้นคำพูดใดก็จะย้ำคำนั้นสามครั้ง

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
4.

หมายเลขฐานข้อมูล 268

، عَنِ الزُّهْرِيِّ، قَالَ أَخْبَرَنِي أَنَسُ بْنُ مَالِكٍ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَرَجَ، فَقَامَ عَبْدُ اللَّهِ بْنُ حُذَافَةَ فَقَالَ مَنْ أَبِي فَقَالَ ‏"‏ أَبُوكَ حُذَافَةُ ‏"‏‏.‏ ثُمَّ أَكْثَرَ أَنْ يَقُولَ ‏"‏ سَلُونِي ‏"‏‏.‏ فَبَرَكَ عُمَرُ عَلَى رُكْبَتَيْهِ فَقَالَ رَضِينَا بِاللَّهِ رَبًّا، وَبِالإِسْلاَمِ دِينًا، وَبِمُحَمَّدٍ صلى الله عليه وسلم نَبِيًّا، فَسَكَتَ‏.‏

รายงานจาก อัซซุฮีย์ ว่า อนัส บินมาลิก ได้บอกกับเราว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมา (ที่มัสยิด) ทันใดนั้น อับดุลลอฮ์ อิบนุ ฮุซาฟะห์ ได้ลุกขึ้นยืนแล้วถามท่านว่า ใครคือพ่อของฉัน ? ท่านตอบว่า “พ่อของเจ้าคือฮุซาฟะห์” แล้วท่านก็พูดย้ำหลายครั้งว่า “ถามฉันมาซิ” จนอุมัรได้คุกเข่าลงต่อหน้าท่านแล้วกล่าวว่า พวกเราพอใจต่ออัลลอฮ์เป็นองค์อภิบาล และพอใจที่อิสลามเป็นศาสนา และพอใจที่มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมเป็นนบี เช่นนั้นจึงท่านนบีจึงได้เงียบ

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
5.

หมายเลขฐานข้อมูล 267

عَنْ أَبِي مُوسَى، قَالَ سُئِلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَنْ أَشْيَاءَ كَرِهَهَا، فَلَمَّا أُكْثِرَ عَلَيْهِ غَضِبَ، ثُمَّ قَالَ لِلنَّاسِ ‏"‏ سَلُونِي عَمَّا شِئْتُمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ رَجُلٌ مَنْ أَبِي قَالَ ‏"‏ أَبُوكَ حُذَافَةُ ‏"‏‏.‏ فَقَامَ آخَرُ فَقَالَ مَنْ أَبِي يَا رَسُولَ اللَّهِ فَقَالَ ‏"‏ أَبُوكَ سَالِمٌ مَوْلَى شَيْبَةَ ‏"‏‏.‏ فَلَمَّا رَأَى عُمَرُ مَا فِي وَجْهِهِ قَالَ يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنَّا نَتُوبُ إِلَى اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ‏.‏

อบีมูซา รายงานว่า ท่านนบีได้เคยถูกถามในสิ่งที่ท่านไม่ชอบ และถ้าท่านรู้สึกโกรธมากขึ้นท่านก็จะกล่าวกับผู้คนว่า “ ถามฉันซิ อยากจะถามอะไรก็ถามมา” มีชายคนหนึ่งถามว่า พ่อของฉันเป็นใคร ? ท่านตอบว่า “พ่อของเจ้าคือฮุซาฟะห์” ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า พ่อของฉันเป็นใครโอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ? ท่านตอบว่า “พ่อของเจ้าคือซาลิมเป็นคนรับใช้ซัยบะห์” และเมื่ออุมัรได้เห็นความไม่พอใจในสีหน้าของท่านก็กล่าวว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ พวกเราขอสำนึกผิดต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่ง

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
6.

หมายเลขฐานข้อมูล 265

عَنْ أَبِي مَسْعُودٍ الأَنْصَارِيِّ، قَالَ قَالَ رَجُلٌ يَا رَسُولَ اللَّهِ، لاَ أَكَادُ أُدْرِكُ الصَّلاَةَ مِمَّا يُطَوِّلُ بِنَا فُلاَنٌ، فَمَا رَأَيْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم فِي مَوْعِظَةٍ أَشَدَّ غَضَبًا مِنْ يَوْمِئِذٍ فَقَالَ ‏"‏ أَيُّهَا النَّاسُ، إِنَّكُمْ مُنَفِّرُونَ، فَمَنْ صَلَّى بِالنَّاسِ فَلْيُخَفِّفْ، فَإِنَّ فِيهِمُ الْمَرِيضَ وَالضَّعِيفَ وَذَا الْحَاجَةِ ‏"‏‏.‏

อบีมัสอู๊ด อัลอันศอรีย์ รายงานว่า มีชายผู้หนึ่งได้ถามว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ฉันเกือบที่จะพลาดการละหมาด (คือละหมาดญะมาอะห์พร้อมกับอิหม่ามไม่ทันเสร็จ) สาเหตุเพราะ (อิหม่าม) คนหนึ่งนำละหมาดพวกเรานานมาก, (อบีมัสอู๊ดกล่าวว่า) ฉันไม่เคยเห็นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โกรธในการตักเตือนผู้คนมากเท่ากับครั้งนี้ ท่านกล่าวว่า “โอ้ประชาชนทั้งหลาย แท้จริงพวกท่านได้ทำให้ผู้อื่นหลบหนี (การละหมาดญะมาอะห์) ฉะนั้นผู้ใดที่นำละหมาดผู้อื่นก็จงทำพอประมาณ เพราะในหมู่คนที่ร่วมละหมาดด้วย มีทั้งผู้ป่วย,คนชรา และผู้มีเหตุจำเป็น”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
7.

หมายเลขฐานข้อมูล 264

، عَنْ عُمَرَ، قَالَ كُنْتُ أَنَا وَجَارٌ، لِي مِنَ الأَنْصَارِ فِي بَنِي أُمَيَّةَ بْنِ زَيْدٍ، وَهْىَ مِنْ عَوَالِي الْمَدِينَةِ، وَكُنَّا نَتَنَاوَبُ النُّزُولَ عَلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَنْزِلُ يَوْمًا وَأَنْزِلُ يَوْمًا، فَإِذَا نَزَلْتُ جِئْتُهُبِخَبَرِ ذَلِكَ الْيَوْمِ مِنَ الْوَحْىِ وَغَيْرِهِ، وَإِذَا نَزَلَ فَعَلَ مِثْلَ ذَلِكَ، فَنَزَلَ صَاحِبِي الأَنْصَارِيُّ يَوْمَ نَوْبَتِهِ، فَضَرَبَ بَابِي ضَرْبًا شَدِيدًا‏.‏ فَقَالَ أَثَمَّ هُوَ فَفَزِعْتُ فَخَرَجْتُ إِلَيْهِ فَقَالَ قَدْ حَدَثَ أَمْرٌ عَظِيمٌ‏.‏ قَالَ فَدَخَلْتُ عَلَى حَفْصَةَ فَإِذَا هِيَ تَبْكِي فَقُلْتُ طَلَّقَكُنَّ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَتْ لاَ أَدْرِي‏.‏ ثُمَّ دَخَلْتُ عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَقُلْتُ وَأَنَا قَائِمٌ أَطَلَّقْتَ نِسَاءَكَ قَالَ ‏"‏ لاَ ‏"‏‏.‏ فَقُلْتُ اللَّهُ أَكْبَرُ

อุมัร รายงานว่า ฉันและเพื่อนบ้านของฉันที่เป็นชาวอันศอรจาก บนีอุมัยยะห์ บินเซด – อาศัยอยู่ที่ราบสูงชานเมืองมะดีนะห์ - เราได้ผลัดกันไปหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยเขาไปวันหนึ่งและฉันก็ไปอีกวันหนึ่ง แต่วันใดที่ฉันไป,ฉันก็จะไปนำข่าวเกี่ยวกับวะฮีย์มาบอกกับเขา และเมื่อเขาไปเขาก็จะนำข่าวมาบอกฉันเช่นกัน แต่ในวันหนึ่งที่เพื่อนชาวอันศอรของฉันได้ไปหาท่านนบีนั้น เขากลับมาเคาะประตูบ้านของฉันดังสนั่น พร้อมทั้งกล่าวว่า อยู่นั่นหรือเปล่า ? ฉันกลัวมาก จึงได้ออกมาพบเขา เขากล่าวว่า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว เขากล่าวว่า ฉัน (อุมัร)จึงได้ไปหาฮับเซาะห์และพบว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ ฉันถามว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้หย่าพวกเธอหรือ ? นางตอบว่า ฉันไม่รู้ หลังจากนั้นฉันจึงได้ไปหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วถามท่านในขณะที่ฉันยังยืนอยู่ว่า ท่านได้หย่าภรรยาของท่านหรือ ? ท่านปฏิเสธว่า เปล่า ฉันจึงได้อุทานว่า “อัลลอฮุอั๊กบัร”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
8.

หมายเลขฐานข้อมูล 263

حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ بْنُ أَبِي مُلَيْكَةَ، عَنْ عُقْبَةَ بْنِ الْحَارِثِ، أَنَّهُ تَزَوَّجَ ابْنَةً لأَبِي إِهَابِ بْنِ عَزِيزٍ، فَأَتَتْهُ امْرَأَةٌ فَقَالَتْ إِنِّي قَدْ أَرْضَعْتُ عُقْبَةَ وَالَّتِي تَزَوَّجَ بِهَا‏.‏ فَقَالَ لَهَا عُقْبَةُ مَا أَعْلَمُ أَنَّكِ أَرْضَعْتِنِي وَلاَ أَخْبَرْتِنِي‏.‏ فَرَكِبَ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بِالْمَدِينَةِ فَسَأَلَهُ، فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ كَيْفَ وَقَدْ قِيلَ ‏"‏‏.‏ فَفَارَقَهَا عُقْبَةُ، وَنَكَحَتْ زَوْجًا غَيْرَهُ‏.‏

อับดุลลอฮ์ อิบนุอบีมุลัยกะห์ ได้เล่าให้ฉันฟัง จากอุกบะห์ อิบนุลฮาริส ว่า เขาได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของอบีอิฮาบ บินอะซีซ ต่อมาได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาเขาแล้วกล่าวว่า แท้จริงฉันเคย (เป็นแม่นม) ให้นมกับอุกบะห์และและหญิงที่เขาแต่งงานด้วย ดังนั้นอุกบะห์จึงได้กล่าวแก่นางว่า ฉันไม่รู้มาก่อนว่า เธอ (เป็นแม่นม)ให้นมฉัน ทำไมเธอไม่บอกฉันก่อนหน้านี้ ดังนั้นอุกบะห์จึงได้ขี่ม้า (จากมักกะห์) ไปหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่นครมะดีนะห์ แล้วถามท่าน, ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ได้อย่างไร เพราะเป็นผู้ที่ดื่มนม” (จากแม่นมคนเดียวกัน) ฉะนั้นอุกบะห์จึงได้แยกทางกับเธอแล้วได้แต่งงานใหม่กับหญิงอื่น

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
9.

หมายเลขฐานข้อมูล 262

، عَنْ أَبِي جَمْرَةَ، قَالَ كُنْتُ أُتَرْجِمُ بَيْنَ ابْنِ عَبَّاسٍ وَبَيْنَ النَّاسِ فَقَالَ إِنَّ وَفْدَ عَبْدِ الْقَيْسِ أَتَوُا النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم فَقَالَ ‏"‏ مَنِ الْوَفْدُ ـ أَوْ مَنِ الْقَوْمُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا رَبِيعَةُ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ مَرْحَبًا بِالْقَوْمِ ـ أَوْ بِالْوَفْدِ ـ غَيْرَ خَزَايَا وَلاَ نَدَامَى ‏"‏‏.‏ قَالُوا إِنَّا نَأْتِيكَ مِنْ شُقَّةٍ بَعِيدَةٍ، وَبَيْنَنَا وَبَيْنَكَ هَذَا الْحَىُّ مِنْ كُفَّارِ مُضَرَ، وَلاَ نَسْتَطِيعُ أَنْ نَأْتِيَكَ إِلاَّ فِي شَهْرٍ حَرَامٍ فَمُرْنَا بِأَمْرٍ نُخْبِرْ بِهِ مَنْ وَرَاءَنَا، نَدْخُلُ بِهِ الْجَنَّةَ‏.‏ فَأَمَرَهُمْ بِأَرْبَعٍ، وَنَهَاهُمْ عَنْ أَرْبَعٍ أَمَرَهُمْ بِالإِيمَانِ بِاللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ وَحْدَهُ‏.‏ قَالَ ‏"‏ هَلْ تَدْرُونَ مَا الإِيمَانُ بِاللَّهِ وَحْدَهُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ‏.‏ قَالَ ‏"‏ شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ، وَإِقَامُ الصَّلاَةِ، وَإِيتَاءُ الزَّكَاةِ، وَصَوْمُ رَمَضَانَ، وَتُعْطُوا الْخُمُسَ مِنَ الْمَغْنَمِ ‏"‏‏.‏ وَنَهَاهُمْ عَنِ الدُّبَّاءِ وَالْحَنْتَمِ وَالْمُزَفَّتِ‏.‏ قَالَ شُعْبَةُ رُبَّمَا قَالَ النَّقِيرِ، وَرُبَّمَا قَالَ الْمُقَيَّرِ‏.‏ قَالَ ‏"‏ احْفَظُوهُ وَأَخْبِرُوهُ مَنْ وَرَاءَكُمْ ‏"‏‏.‏

อบีญัมเราะห์ รายงานว่า ฉันเคยเป็นล่าม (ภาษาเปอร์เซีย) ให้กับ อิบนิอับบาส ในการอธิบายเรื่องศาสนาให้แก่คนทั่วไป เขากล่าวว่า แท้จริงตัวแทนของเผ่าอับดุลกอยซ์ ได้เคยมาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ถามว่า เป็นตัวแทนของใคร หรือจากกลุ่มชนใด พวกเขาตอบว่า จากเผ่ารอบีอะฮ์ ท่านกล่าวว่า ยินดีต้อนรับตัวแทนของชนกลุ่มนี้ โดยไม่มีความทุกข์โศกและความระทมใดๆ เขากล่าวว่า คนเหล่านั้นได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราจะมาหาท่านด้วยความยากลำบากและหนทางก็ไกล ระหว่างทางก็มีชนเผ่าผู้ปฏิเสธการศรัทธาจากมุฏ็อรคอยสกัดกั้น ทำให้พวกเราไม่สามารถมาพบท่านได้ (อย่างปลอดภัย) นอกจากเดือนต้องห้ามเท่านั้น (เดือนที่มีสนธิสัญญาสงบศึกสี่เดือนคือ รอญับ, ซุลเกาะอ์ดะห์, ซุลฮิจญะห์, และมุฮัรรอม) ดังนั้นได้โปรดสั่งใช้พวกเรามาเถิด พวกเราจะได้นำไปบอกบรรดากลุ่มชนของเรา เพื่อพวกเราจะได้เข้าสวรรค์ ท่านรอซูลจึงได้ใช้พวกเขาสี่ประการ และห้ามพวกเขาสี่ประการ ท่านใช้พวกเขาให้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว โดยกล่าวว่า พวกเจ้ารู้ไหม การศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เป็นเช่นใด พวกเขาตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านบอกว่า คือ การปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัด ศือศาสนทูตของอัลลอฮ์, การดำรงละหมาด, การจ่ายซะกาต, ถือศีลอดเดือนรอมฏอน , การจัดจ่ายส่วนหนึ่งในห้าของทรัพย์เฉลยที่พวกเจ้าได้มา, และท่านห้ามพวกเขาเกี่ยวกับ (1) ดุบาอ์ (2) ฮันตัม (3) มุซัฟฟัร ซัวอ์บะห์ได้กล่าวว่าหรือเขากล่าวด้วยคำว่า (3) นะกีร ซัวอ์บะห์กล่าวอีกว่า และเขากล่าวว่า (4) มุกอยยัร, ท่านนบีกล่าวว่า พวกเจ้าพึงรักษามันไว้ให้ดีและนำไปบอกผู้คนในกลุ่มชนท่านด้วย หมายเหตุ เป้าหมายของข้อห้ามทั้งสี่ประการข้างต้นนั้น เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา และสืบเนื่องจากภาชนะที่ใช้หมัก-ดองคือ (1) ดุบาอ์ หมายถึงภาชนะจากเปลือกกลวงของลูกน้ำเต้าใช้ดองเหล้า (2) ฮันตัม (ฮันตะมะห์) คือขวด หรือโหล ที่นิยมดองเหล้าหรือใส่ไวน์ (3) นะกีร คือกระบอกไม้ที่ใช้เป็นภาชะสำหรับดองหรือใส่เครื่องดื่มมึนเมา (4) มุซัฟฟัร มุกอยยัร คือชัน หมายถึงภาชนะที่เคลือบหรือยาด้วยชันหรือน้ำมันดิน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
10.

หมายเลขฐานข้อมูล 261

عَنْ أَسْمَاءَ، قَالَتْ أَتَيْتُ عَائِشَةَ وَهِيَ تُصَلِّي فَقُلْتُ مَا شَأْنُ النَّاسِ فَأَشَارَتْ إِلَى السَّمَاءِ، فَإِذَا النَّاسُ قِيَامٌ، فَقَالَتْ سُبْحَانَ اللَّهِ‏.‏ قُلْتُ آيَةٌ فَأَشَارَتْ بِرَأْسِهَا، أَىْ نَعَمْ، فَقُمْتُ حَتَّى تَجَلاَّنِي الْغَشْىُ، فَجَعَلْتُ أَصُبُّ عَلَى رَأْسِي الْمَاءَ، فَحَمِدَ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم وَأَثْنَى عَلَيْهِ، ثُمَّ قَالَ ‏"‏ مَا مِنْ شَىْءٍ لَمْ أَكُنْ أُرِيتُهُ إِلاَّ رَأَيْتُهُ فِي مَقَامِي حَتَّى الْجَنَّةَ وَالنَّارَ، فَأُوحِيَ إِلَىَّ أَنَّكُمْ تُفْتَنُونَ فِي قُبُورِكُمْ، مِثْلَ ـ أَوْ قَرِيبًا لاَ أَدْرِي أَىَّ ذَلِكَ قَالَتْ أَسْمَاءُ ـ مِنْ فِتْنَةِ الْمَسِيحِ الدَّجَّالِ، يُقَالُ مَا عِلْمُكَ بِهَذَا الرَّجُلِ فَأَمَّا الْمُؤْمِنُ ـ أَوِ الْمُوقِنُ لاَ أَدْرِي بِأَيِّهِمَا قَالَتْ أَسْمَاءُ ـ فَيَقُولُ هُوَ مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللَّهِ جَاءَنَا بِالْبَيِّنَاتِ وَالْهُدَى، فَأَجَبْنَا وَاتَّبَعْنَا، هُوَ مُحَمَّدٌ‏.‏ ثَلاَثًا، فَيُقَالُ نَمْ صَالِحًا، قَدْ عَلِمْنَا إِنْ كُنْتَ لَمُوقِنًا بِهِ، وَأَمَّا الْمُنَافِقُ ـ أَوِ الْمُرْتَابُ لاَ أَدْرِي أَىَّ ذَلِكَ قَالَتْ أَسْمَاءُ ـ فَيَقُولُ لاَ أَدْرِي، سَمِعْتُ النَّاسَ يَقُولُونَ شَيْئًا فَقُلْتُهُ ‏"‏‏.‏

อัสมาอ์ (บินติอบีบักร์) รายงานว่า ฉันมาหาท่านหญิงอาอิชะห์ ขณะที่นางกำลังละหมาดอยู่ ฉันจึงกล่าวว่า มันอะไรเกิดขึ้นกับบรรดาผู้คนหรือนี่ ? ท่านหญิงอาอิชะห์จึงชี้ไปบนฟ้า, ขณะนั้นบรรดาผู้คนกำลังยืน (ละหมาดสุริยคราสอยู่ในมัสยิด) ท่านหญิงอิชะห์ได้กล่าวว่า ซุบฮานั้ลลอฮ์ (ขณะชี้ไปบนฟ้า) ฉันกล่าวว่า เป็นสัญญาณหรือ ดังนั้นนางจึงชี้ไปที่ศีรษะ หมายถึงตอบรับว่า ใช่แล้ว ฉันจึงได้เข้าไปยืนละหมาดด้วย จนกระทั่งรู้สึกว่าหน้ามืด ฉันจึงได้เอาน้ำมาราดศีรษะ หลังจากละหมาดเสร็จ ท่านนบีก็ (คุตบะห์โดยเริ่มต้นด้วย) สรรเสริญอัลลอฮ์และสดุดีต่อพระองค์ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า สิ่งใดที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน, ฉันก็ได้เห็นมัน ณ.ที่นี้ แม้กระทั่งสวรรค์หรือนรก และได้มีวะฮีย์มายังฉันว่า พวกเจ้าจะถูกสอบในหลุมศพของพวกเจ้า เหมือนการสอบด้วยมะเซียะห์ อัดดัจญาล หรือในเวลาอันใกล้นี้ (ผู้รายงาน ไม่แน่ใจว่าอัสมาอ์ได้รายงานด้วยคำใดระหว่างคำว่า مثل หรือقريب ) เจ้าจะถูกถามว่า เจ้ารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับชายผู้นี้บ้าง ? สำหรับผู้ศรัทธา (ผู้รายงาน ไม่แน่ใจว่าอัสมาอ์รายงานโดยใช้คำว่า الْمُؤْمِنُ หรือ الْمُوقِنُ ) จะตอบว่า เขาคือมูฮัมหมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ที่นำความชัดเจนและทางนำมาให้แก่พวกเรา และพวกเราก็น้อมรับและปฏิบัติตาม เขาคือมูฮัมหมัด, โดยเขาจะกล่าวซ้ำเช่นนี้สามครั้ง ดังนั้นจึงมีเสียงบอกกับเขาว่า จงนอนด้วยความสงบสุขเถิด เรารู้แล้วว่าเจ้าได้เชื่อมั่นต่อเขาจริงๆ ส่วนผู้กลับกลอกในการศรัทธา หรือผู้ที่ยังอยู่ในความสงสัย (ผู้รายงานไม่แน่ใจว่า อัสมาอ์ใช้คำรายงานด้วยคำใดระหว่าง คำว่า الْمُنَافِقُ กับคำว่า الْمُرْتَابُ ) จะกล่าวว่า ข้าไม่รู้ ข้าเคยได้ยินคนเขาพูดกันข้าก็พูดตามเขา

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
11.

หมายเลขฐานข้อมูล 260

عَنْ سَالِمٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ يُقْبَضُ الْعِلْمُ، وَيَظْهَرُ الْجَهْلُ وَالْفِتَنُ، وَيَكْثُرُ الْهَرْجُ ‏"‏‏.‏ قِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا الْهَرْجُ فَقَالَ هَكَذَا بِيَدِهِ، فَحَرَّفَهَا، كَأَنَّهُ يُرِيدُ الْقَتْلَ‏.‏

ซาลิม รายงานว่า ฉันเคยได้ยิน อบีฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่าท่านนบีกล่าวว่า “ความรู้จะถูกเอากลับไป (โดยการเสียชีวิตของผู้มีความรู้) ความโง่เขลาและความวุ่นวายจะปรากฏ, และอัลฮัรญุ จะมีมากขึ้น มีผู้ถามว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ อัลฮัรญุ หมายถึงอะไรหรือ ? ท่านตอบว่า คืออย่างนี้ แล้วท่านก็ใช้มือทำท่าประกอบ ที่แสดงถึงการฆ่า

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
12.

หมายเลขฐานข้อมูล 259

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم سُئِلَ فِي حَجَّتِهِ فَقَالَ ذَبَحْتُ قَبْلَ أَنْ أَرْمِيَ، فَأَوْمَأَ بِيَدِهِ قَالَ وَلاَ حَرَجَ‏.‏ قَالَ حَلَقْتُ قَبْلَ أَنْ أَذْبَحَ‏.‏ فَأَوْمَأَ بِيَدِهِ وَلاَ حَرَجَ‏.‏

อิบนิอับบาส รายงานว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ถูกถามระหว่างการทำฮัจญ์ของท่านว่า “ฉันได้เชือดไปแล้วก่อนที่จะขว้างเสาหิน ? ” ท่านจึงได้ (เรียกโดยการ) ชี้นิ้วไปที่ผู้ถาม แล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร”ส่วนอีกคนหนึ่งถามว่า “ฉันโกนศีรษะไปแล้วก่อนที่จะเชือด ? ” ท่านก็ได้ชี้นิ้วไปที่ผู้ถามแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
13.

หมายเลขฐานข้อมูล 258

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرِو بْنِ الْعَاصِ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَقَفَ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ بِمِنًى لِلنَّاسِ يَسْأَلُونَهُ، فَجَاءَهُ رَجُلٌ فَقَالَ لَمْ أَشْعُرْ فَحَلَقْتُ قَبْلَ أَنْ أَذْبَحَ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ اذْبَحْ وَلاَ حَرَجَ ‏"‏‏.‏ فَجَاءَ آخَرُ فَقَالَ لَمْ أَشْعُرْ، فَنَحَرْتُ قَبْلَ أَنْ أَرْمِيَ‏.‏ قَالَ ‏"‏ ارْمِ وَلاَ حَرَجَ ‏"‏‏.‏ فَمَا سُئِلَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم عَنْ شَىْءٍ قُدِّمَ وَلاَ أُخِّرَ إِلاَّ قَالَ افْعَلْ وَلاَ حَرَجَ

อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ อิบนิอาศ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้หยุด (อูฐที่ท่านขี่) ขณะอยู่ที่มีนา ในการทำฮัจญ์ครั้งอำลาของท่านเพื่อบรรดาผู้คน พวกเขาจะได้ถามท่าน (เกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีฮัจญ์อย่างสมบูรณ์) มีชายผู้หนึ่งมาหาท่านแล้วกล่าวว่า ฉันลืม ! ฉันจึงโกนศีรษะก่อนที่จะเชือด ท่านตอบว่า “เชือดเถอะ ไม่เป็นไร” แล้วก็มีชายอีกคนหนึ่งมาหาแล้วถามว่า ฉันลืม ! ฉันจึงได้เชือดอูฐก่อนที่จะขว้างเสาหิน ท่านตอบว่า“ไปขว้างเสาหินเถอะ ไม่เป็นไร” ไม่ว่าท่านนบีจะถูกถามเกี่ยวกับเรื่องใด (ในการทำพิธีฮัจญ์) ว่าจะทำก่อนหรือหลัง ท่านก็จะบอกว่า ทำเถอะ ไม่เป็นไร

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
14.

หมายเลขฐานข้อมูล 257

أَنَّ ابْنَ عُمَرَ، قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ بَيْنَا أَنَا نَائِمٌ أُتِيتُ بِقَدَحِ لَبَنٍ، فَشَرِبْتُ حَتَّى إِنِّي لأَرَى الرِّيَّ يَخْرُجُ فِي أَظْفَارِي، ثُمَّ أَعْطَيْتُ فَضْلِي عُمَرَ بْنَ الْخَطَّابِ ‏"‏‏.‏ قَالُوا فَمَا أَوَّلْتَهُ يَارَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الْعِلْمَ ‏"‏‏.‏

รายงานจาก (อับดุลลอฮ์) อิบนิอุมัร ว่า ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ขณะที่ฉันกำลังหลับ (และฝันเห็น) เหยือกที่มีน้ำนมเต็มเปี่ยมถูกนำมาให้ฉัน และฉันก็ดื่มนมนั้นจนกระทั่งจนพบว่าน้ำนมนั้นได้ไหลออกจากเล็บของฉันจนเปียกแฉะ หลังจากนั้นฉันก็ให้น้ำนมที่เหลืออยู่แก่อุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ” บรรดาศอฮาบะห์ถามว่า ท่านจะทำนายฝันนี้อย่างไรหรือโอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “มันคือความรู้” (ที่ถูกถ่ายทอดออกไป)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
15.

หมายเลขฐานข้อมูล 256

عَنْ أَنَسٍ، قَالَ لأُحَدِّثَنَّكُمْ حَدِيثًا لاَ يُحَدِّثُكُمْ أَحَدٌ بَعْدِي سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مِنْ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ أَنْ يَقِلَّ الْعِلْمُ، وَيَظْهَرَ الْجَهْلُ، وَيَظْهَرَ الزِّنَا، وَتَكْثُرَ النِّسَاءُ وَيَقِلَّ الرِّجَالُ، حَتَّى يَكُونَ لِخَمْسِينَ امْرَأَةً الْقَيِّمُ الْوَاحِدُ ‏"‏‏

อนัส (บินมาลิก) กล่าวว่า ฉันจะบอกกับพวกท่านเอาไหม (ชาวเมืองบัศเราะห์) ซึ่งไม่มีใคร (ศอฮาบะห์คนใด) ถัดจากฉัน จะบอกกับพวกท่านอีก (เนื่องจากท่านอนัสเป็นศอฮาบะห์ท่านสุดท้ายที่เสียชีวิตที่เมืองบัศเราะห์) ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งกาลอวสานก็คือ ความรู้ทางศาสนาจะถดทอย ความโง่เขลาจะแพร่กระจาย การละเมิดทางเพศจะเกิดขึ้นดาษดื่น, ผู้หญิงจะมีมากขึ้น ผู้ชายจะมีจำนวนน้อย จนกระทั่งผู้ชายหนึ่งคนจะดูแลผู้หญิงถึงห้าสิบคน”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
16.

หมายเลขฐานข้อมูล 255

، عَنْ أَنَسٍ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِنَّ مِنْ أَشْرَاطِ السَّاعَةِ أَنْ يُرْفَعَ الْعِلْمُ، وَيَثْبُتَ الْجَهْلُ، وَيُشْرَبَ الْخَمْرُ، وَيَظْهَرَ الزِّنَا ‏"‏‏.‏

อนัส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงส่วนหนึ่งของสัญญาณแห่งกาลอวสานนั้นคือ ความรู้ (ในเรื่องของศาสนา) จะถูกนำกลับไป (โดยการเสียชีวิตของผู้รู้) และความโง่เขลาจะมาแทนที่, น้ำเมาจะถูกดื่ม (จนกลายเป็นเรืองปกติ) , การละเมิดทางเพศจะแพร่ระบาด

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
17.

หมายเลขฐานข้อมูล 254

، عَنْ أَبِي مُوسَى، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَثَلُ مَا بَعَثَنِي اللَّهُ بِهِ مِنَ الْهُدَى وَالْعِلْمِ كَمَثَلِ الْغَيْثِ الْكَثِيرِ أَصَابَ أَرْضًا، فَكَانَ مِنْهَا نَقِيَّةٌ قَبِلَتِ الْمَاءَ، فَأَنْبَتَتِ الْكَلأَ وَالْعُشْبَ الْكَثِيرَ، وَكَانَتْ مِنْهَا أَجَادِبُ أَمْسَكَتِ الْمَاءَ، فَنَفَعَ اللَّهُ بِهَا النَّاسَ، فَشَرِبُوا وَسَقَوْا وَزَرَعُوا، وَأَصَابَتْ مِنْهَا طَائِفَةً أُخْرَى، إِنَّمَا هِيَ قِيعَانٌ لاَ تُمْسِكُ مَاءً، وَلاَ تُنْبِتُ كَلأً، فَذَلِكَ مَثَلُ مَنْ فَقِهَ فِي دِينِ اللَّهِ وَنَفَعَهُ مَا بَعَثَنِي اللَّهُ بِهِ، فَعَلِمَ وَعَلَّمَ، وَمَثَلُ مَنْ لَمْ يَرْفَعْ بِذَلِكَ رَأْسًا، وَلَمْ يَقْبَلْ هُدَى اللَّهِ الَّذِي أُرْسِلْتُ بِهِ ‏"‏‏.‏

อบีมูซา อัลอัชอารีย์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เปรียบดั่งสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งฉันมาด้วยกับทางนำและความรู้ ก็เหมือนดังฝนห่าใหญ่ที่ชโลมพื้นดิน ซึ่งมีทั้งดินที่สมบูรณ์สามารถซึมซับน้ำได้ดี ทำให้พืช,หญ้างอกเงยมากมาย, ส่วนดินอีกประเภทหนึ่งเป็นดินเหนียวที่สามารถกักเก็บน้ำได้ อัลลอฮ์ได้ให้มันเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในการดื่ม,ให้น้ำสัตว์ และเพื่อการเกษตร, แต่ยังมีดินอีกประเภทหนึ่งคือดินดาน ที่ฝนหลั่งลงมาแล้วไม่สามารถกักเก็บน้ำและพืชหญ้าก็ไม่สามารถงอกเงยได้ เช่นนี้แหละ (ตัวอย่างแรก) เปรียบดังผู้ที่เข้าใจศาสนาของอัลลอฮ์และได้ประโยชน์ จากสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั้งฉันมา นอกจากเขารู้แล้วเขายังสอนผู้อื่นด้วย และ (ตัวอย่างสุดท้าย) เปรียบดังผู้ที่ไม่ยอมผงกศีรษะของเขา และไม่น้อมรับทางนำซึ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงส่งฉันมาด้วยสิ่งดังกล่าว”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
18.

หมายเลขฐานข้อมูล 253

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، أَنَّهُ تَمَارَى هُوَ وَالْحُرُّ بْنُ قَيْسِ بْنِ حِصْنٍ الْفَزَارِيُّ فِي صَاحِبِ مُوسَى، فَمَرَّ بِهِمَا أُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ، فَدَعَاهُ ابْنُ عَبَّاسٍ فَقَالَ إِنِّي تَمَا رَيْتُ أَنَا وَصَاحِبِي هَذَا فِي صَاحِبِ مُوسَى الَّذِي سَأَلَ السَّبِيلَ إِلَى لُقِيِّهِ، هَلْسَمِعْتَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَذْكُرُ شَأْنَهُ فَقَالَ أُبَىٌّ نَعَمْ، سَمِعْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم يَذْكُرُ شَأْنَهُ يَقُولُ ‏"‏ بَيْنَمَا مُوسَى فِي مَلإٍ مِنْ بَنِي إِسْرَائِيلَ، إِذْ جَاءَهُ رَجُلٌ فَقَالَ أَتَعْلَمُ أَحَدًا أَعْلَمَ مِنْكَ قَالَ مُوسَ ى لاَ‏.‏فَأَوْحَى اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ إِلَى مُوسَى بَلَى، عَبْدُنَا خَضِرٌ، فَسَأَلَ السَّبِيلَ إِلَى لُقِيِّهِ، فَجَعَلَ اللَّهُ لَهُ الْحُوتَ آيَةً، وَقِيلَ لَهُ إِذَا فَقَدْتَ الْحُوتَ فَارْجِعْ، فَإِنَّكَ سَتَلْقَاهُ، فَكَانَ مُوسَى صلى الله عليه وسلم يَتَّبِعُ أَثَرَ الْحُوتِ فِي الْبَحْرِ‏.‏ فَقَالَفَتَى مُوسَى لِمُوسَى أَرَأَيْتَ إِذْ أَوَيْنَا إِلَى الصَّخْرَةِ فَإِنِّي نَسِيتُ ا لْحُوتَ، وَمَا أَنْسَانِيهِ إِلاَّ الشَّيْطَانُ أَنْ أَذْكُرَهُ‏.‏ قَالَ مُوسَى ذَلِكَ مَا كُنَّا نَبْغِي‏.‏ فَارْتَدَّا عَلَى آثَارِهِمَا قَصَصًا، فَوَجَدَا خَضِرًا، فَكَانَ مِنْ شَأْنِهِمَا مَا قَ صَّ اللَّهُ فِي كِتَابِهِ‏"‏‏.‏

อิบนิอับบาส รายงานว่า เขากับ อัลฮุรร์ บินกอยซ์ บินฮิสน์ อัลฟะซารีย์ กำลังถกกันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมเดินทางของนบีมูซา ขณะนั้น อุบัย บินกะอบ์ได้ผ่านมาพอดี อิบนิอับบาสจึงได้เรียกเขามาถาม โดยกล่าวว่า ฉันกับเพื่อนของฉันกำลังถกกันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมเดินทางของท่านนบีมูซา ซึ่งนบีมูซาถามเขาเกี่ยวกับวิธีที่จะได้เจอ (กับค่อดิร) ท่านพอจะได้ยินเรื่องนี้จากท่านนบีบ้างไหมว่า ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? อุบัยตอบว่า ใช่ ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ขณะที่นบีมูซาอยู่ท่ามกลางชาวบะนีอิสรออีล ก็มีชายผู้หนึ่งมาหาท่าน แล้วกล่าวว่า ท่านรู้จักใครคนหนึ่งไหมที่รู้ดีมากกว่าท่าน ? มูซาตอบว่า ไม่รู้ ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ดลใจแก่มูซาว่า มีคนที่รู้ดีกว่าเขาคือ ค่อดิรผู้เป็นบ่าวของเรา ฉะนั้นมูซาจึงได้ถามเกี่ยวกับวิธีการที่จะได้เจอกับเขา พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ให้ปลาเป็นเครื่องหมาย และมีผู้บอกกับเขาว่า เมื่อท่านไม่พบปลาก็จงย้อนกลับมา แล้วท่านก็จะพบกับเขาเอง ดังนั้นท่านนบีมูซาจึงไปตามไปเพื่อร่องรอยสัญญลักษณ์ของปลาในทะเล มีเด็กหนุ่มที่คอยรับใช้มูซาได้กล่าวแก่มูซาว่า ท่านจำได้ไหม ขณะที่เราแวะพักที่ก้อนหินนั้น ฉันได้ลืมพูดถึงเรื่องปลา และไม่มีใครจะทำให้ฉันลืมนอกจากซัยตอน นบีมูซากล่าวว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เราตามหา ดังนั้นทั้งสองจึงย้อนกลับไปทางเดิม แล้วทั้งสองก็พบกับค่อดิร นี่คือเรื่องราวของทั้งสองที่พระองค์อัลลอฮ์นำมาเล่าไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ (ดูซูเราะห์ อัลกะฮ์ฟี่ อายะห์ที่ 60 - 82)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
19.

หมายเลขฐานข้อมูล 252

عَنْ مَحْمُودِ بْنِ الرَّبِيعِ، قَالَ عَقَلْتُ مِنَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم مَجَّةً مَجَّهَا فِي وَجْهِي وَأَنَا ابْنُ خَمْسِ سِنِينَ مِنْ دَلْوٍ‏.‏

มะห์มูด บินรอเบียะอ์ รายงานว่า ฉันจำการพ่นน้ำจากปากของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ ซึ่งท่านได้พ่นน้ำใส่หน้าฉัน ตอนนั้นฉันเพิ่งจะอายุ 5 ขวบ (หมายถึง) น้ำจากถัง (คือท่านนบีนำน้ำจากถังพ่นใส่หน้าของมะห์มูด ซึ่งเป็นการหยอกล้อกับเด็กๆ)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
20.

หมายเลขฐานข้อมูล 251

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ أَقْبَلْتُ رَاكِبًا عَلَى حِمَارٍ أَتَانٍ، وَأَنَا يَوْمَئِذٍ قَدْ نَاهَزْتُ الاِحْتِلاَمَ، وَرَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يُصَلِّي بِمِنًى إِلَى غَ يْرِ جِدَارٍ، فَمَرَرْتُ بَيْنَ يَدَىْ بَعْضِ الصَّفِّ وَأَرْسَلْتُ الأَتَانَ تَرْتَعُ، فَدَخَلْتُفِي الصَّفِّ، فَلَمْ يُنْكَرْ ذَلِكَ عَلَىَّ‏

อับดุลลอฮ์ อิบนิอับบาส รายงานว่า ฉันได้ขี่ลารุ่นๆ – ซึ่งในตอนนั้นฉันก็ใกล้จะบรรลุ ศาสนภาวะแล้ว – (ยังอยู่ในวัยเด็ก) ขณะที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังละหมาดอยู่ที่มีนาโดยไม่มีกำแพงกั้น ฉันได้ขี่ลาผ่านหน้าแถวละหมาดบางแถว และปล่อยให้มันเล็มหญ้าจนเข้าไปอยู่ในแถวคนละหมาด แต่ก็ไม่มีใครตำหนิฉันในเรื่องนี้เลย

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
21.

หมายเลขฐานข้อมูล 250

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ ضَمَّنِي رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم وَقَالَ ‏"‏ اللَّهُمَّ عَلِّمْهُ الْكِتَابَ ‏"‏‏.‏

อิบนิอับบาส รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้โอบกอดฉัน แล้วกล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดให้เขามีความรู้ในเรื่องอัลกุรอาน” อ้างอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่ 143, 3756, 7270

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
22.

หมายเลขฐานข้อมูล 249

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، أَنَّهُ تَمَارَى هُوَ وَالْحُرُّ بْنُ قَيْسِ بْنِ حِصْنٍ الْفَزَارِيُّ فِي صَاحِبِ مُوسَى قَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ هُوَ خَضِرٌ‏.‏ فَمَرَّ بِهِمَا أُبَىُّ بْنُ كَعْبٍ، فَدَعَاه ابْنُ عَبَّاسٍ فَقَالَ إِنِّي تَمَارَيْتُ أَنَا وَصَاحِبِي، هَذَا فِي صَاحِبِ مُوسَى الَّذِيسَأَلَ مُوسَى السَّبِيلَ إِلَى لُقِيِّهِ، هَلْ سَمِعْتَ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم يَذْكُرُ شَأْنَهُ قَالَ نَعَمْ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ بَيْنَمَا مُوسَى فِي مَلإٍ مِنْ بَنِي إِسْرَائِيلَ، جَاءَهُ رَجُلٌ فَقَالَ هَلْ تَعْلَمُ أَحَدًا أَعْلَم مِنْكَقَالَ مُوسَى لاَ‏.‏ فَأَوْحَى اللَّهُ إِلَى مُوسَى بَلَى، عَبْدُنَا خَضِرٌ، فَسَأَلَ مُوسَى السَّبِيلَ إِلَيْهِ، فَجَعَلَ اللَّهُ لَهُ الْحُوتَ آيَةً، وَقِيلَ لَهُ إِذَا فَقَدْتَ الْحُوتَ فَارْجِعْ، فَإِنَّكَ سَتَلْقَاهُ، وَكَانَ يَتَّبِعُ أَثَرَ الْحُوتِ فِي الْبَحْرِ، فَقَالَ لِمُوسَى فَتَاهُ أَرَأَيْتَإِذْ أَوَيْنَا إِلَى الصَّخْرَةِ فَإِنِّي نَسِيتُ الْحُوتَ، وَمَا أَنْسَانِيهِ إِلاَّ ال شَّيْطَانُ أَنْ أَذْكُرَهُ‏.‏ قَالَ ذَلِكَ مَا كُنَّا نَبْغِي، فَارْتَدَّا عَلَى آثَارِهِمَا قَصَصًا، فَوَجَدَا خَضِرًا‏.‏ فَكَانَ مِنْ شَأْنِهِمَا الَّذِي قَصَّ اللَّهُ ـ عَزَّ وَجَلَّ ـ فِي كِتَابِهِ ‏"‏‏.‏

อิบนิอับบาส รายงานว่า เขากับ อัลฮุรร์ บินกอยซ์ บินฮิสน์ อัลฟะซารีย์ กำลังถกกันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมเดินทางของนบีมูซา โดยอิบนิอับบาส กล่าวว่า เขาคือ ค่อดิร ขณะนั้น อุบัย บินกะอบ์ได้ผ่านมาพอดี อิบนิอับบาสจึงได้เรียกเขามาถามว่า ฉันกับเพื่อนของฉันกำลังถกกันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมเดินทางของท่านนบีมูซา ซึ่งนบีมูซาถามเขาเกี่ยวกับวิธีที่จะได้เจอ (กับค่อดิร) ท่านพอจะได้ยินเรื่องนี้จากท่านนบีบ้างไหมว่า ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างไร ? เขาตอบว่า ใช่ ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ขณะที่นบีมูซาอยู่ท่ามกลางชาวบะนีอิสรออีล ก็มีชายผู้หนึ่งมาหาท่าน แล้วกล่าวว่า ท่านรู้จักใครสักคนไหมที่รู้ดีมากกว่าท่าน ? มูซาตอบว่า ไม่รู้ ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์จึงได้ดลใจแก่มูซาว่า มีคนที่รู้ดีกว่าเขาคือ ค่อดิรผู้เป็นบ่าวของเรา ฉะนั้นมูซาจึงได้ถามเกี่ยวกับวิธีการที่จะได้เจอกับเขา พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ให้ปลาเป็นเครื่องหมาย และมีผู้บอกกับเขาว่า เมื่อท่านไม่พบปลาก็จงย้อนกลับมา แล้วท่านก็จะพบกับเขาเอง ดังนั้นท่านนบีมูซาจึงไปตามไปเพื่อร่องรอยสัญญลักษณ์ของปลาในทะเล มีเด็กหนุ่มที่คอยรับใช้ได้กล่าวแก่มูซาว่า ท่านจำได้ไหม ขณะที่เราแวะพักที่ก้อนหินนั้น ฉันได้ลืมพูดถึงเรื่องปลา และไม่มีใครจะทำให้ฉันลืมนอกจากซัยตอน นบีมูซากล่าวว่า นั่นแหละคือสิ่งที่เราตามหา ดังนั้นทั้งสองจึงย้อนกลับไปทางเดิม แล้วทั้งสองก็พบกับค่อดิร นี่คือเรื่องราวของทั้งสองที่พระองค์อัลลอฮ์นำมาเล่าไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ (ดูซูเราะห์ อัลกะฮ์ฟี่ อายะห์ที่ 60 - 82)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
23.

หมายเลขฐานข้อมูล 248

عَبْدَ اللَّهِ بْنَ مَسْعُودٍ، قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ لاَ حَسَدَ إِلاَّ فِي اثْنَتَيْنِ رَجُلٌ آتَاهُ اللَّهُ مَالاً فَسُلِّطَ عَلَى هَلَكَتِهِ فِي الْحَقِّ، وَرَجُلٌ آتَاهُ اللَّهُ ا لْحِكْمَةَ، فَهْوَ يَقْضِي بِهَا وَيُعَلِّمُهَا ‏"‏‏.‏

อับดุลลอฮ์ อิบนิมัสอู๊ด รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีการอิจฉา (ที่อนุมัติ หมายถึงอิจฉาในความดีของเขา ไม่ใช้อิจฉาไม่อยากให้เขาได้ดี) นอกจากสองประการต่อไปนี้คือ (1) ผู้ที่อัลลอฮ์ประทานทรัพย์สินให้เขามากมายแต่ขาใช้มันหมดไปเพื่อปกป้องสัจธรรม (อัลอิสลาม) (2) ผู้ที่อัลลอฮ์ประทานความรู้และไหวพริบให้แก่เขา และเขาปฏิบัติตามความรู้และสอนผู้อื่น”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
24.

หมายเลขฐานข้อมูล 247

عَنْ مُجَاهِدٍ، قَالَ صَحِبْتُ ابْنَ عُمَرَ إِلَى الْمَدِينَةِ فَلَمْ أَسْمَعْهُ يُحَدِّثُ عَنْ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِلاَّ حَدِيثًا وَاحِدًا، قَالَ كُنَّا عِنْدَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فَأُتِيَ بِجُمَّارٍ فَقَالَ ‏"‏ إِنَّ مِنَ الشَّجَرِ شَجَرَةً مَثَلُهَا كَمَثَلِ الْمُسْلِمِ‏"‏‏.‏ فَأَرَدْتُ أَنْ أَقُولَ هِيَ النَّخْلَةُ، فَإِذَا أَنَا أَصْغَرُ الْقَوْمِ فَسَكَتُّ، قَالَ ال نَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ هِيَ النَّخْلَةُ ‏"

มุญาฮิด รายงานว่า ฉันได้ร่วมเดินทางกับ อิบนิอุมัร ไปที่นครมะดีนะห์ ซึ่งฉันมิได้ยินเขาเล่าเรื่องใดๆจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นอกจากเพียงฮะดีษบทเดียวต่อไปนี้ เขากล่าวว่า ขณะที่พวกเรากำลังอยู่กับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็มีคนเอาจั่นอินทผัลมมาให้กับท่าน, ท่านกล่าวว่า “แท้จริงมีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่ (ใบของมันไม่ร่วง) เป็นดั่งมุสลิม” ฉัน (มุญาฮิด) ต้องการที่จะพูดว่า มันคืออินทผลัม แต่ตอนนั้นฉันยังเด็กที่สุดในหมู่คน ฉันจึงนิ่งเงียบ (เขากล่าวว่า) ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มันคือต้นอินผลัม”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
25.

หมายเลขฐานข้อมูล 246

قَالَ حُمَيْدُ بْنُ عَبْدِ الرَّحْمَنِ سَمِعْتُ مُعَاوِيَةَ، خَطِيبًا يَقُولُ سَمِعْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ مَنْ يُرِدِ اللَّهُ بِهِ خَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ، وَإِنَّمَا أَ نَا قَاسِمٌ وَاللَّهُ يُعْطِي، وَلَنْ تَزَالَ هَذِهِ الأُمَّةُ قَائِمَةً عَلَى أَمْرِ اللَّهِ لاَ يَضُرُّهُمْ مَنْخَالَفَهُمْ حَتَّى يَأْتِيَ أَمْرُ اللَّهِ ‏"

ฮุมัยด์ อิบนุอับดิรเราะห์มาน รายงานว่า ฉันเคยได้ยิน มุอาวิยะห์ ได้กล่าวแสดงธรรม (คุตบะห์) ว่า ฉันเคยได้ยินท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดที่อัลลอฮ์ประสงค์ให้เขาได้รับความดี พระองค์จะให้เขาเข้าใจศาสนา และแท้จริงฉันเป็นเพียงผู้จัดสรรปั่นส่วน แต่อัลลอฮ์เป็นผู้ประทาน และประชาชาตินี้จะยังคงดำรงไว้ซึ่งคำสั่งใช้ของอัลลอฮ์ มันจะไม่เป็นอันตรายแก่พวกเขา (ในศาสนาที่พวกเขาถือปฏิบัติ) แต่อย่างใด ด้วยผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขา จนกว่าคำสั่งของอัลลอฮ์ (วันพิพากษา) จะมาถึง”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
26.

หมายเลขฐานข้อมูล 245

عَنْ أَبِي وَائِلٍ، قَالَ كَانَ عَبْدُ اللَّهِ يُذَكِّرُ النَّاسَ فِي كُلِّ خَمِيسٍ، فَقَالَ لَهُ رَجُلٌ يَا أَبَا عَبْدِ الرَّحْمَنِ لَوَدِدْتُ أَنَّكَ ذَكَّرْتَنَا كُلَّ يَوْمٍ‏.‏ قَالَ أَمَا إِنَّهُ يَمْنَعُنِي مِنْ ذَلِكَ أَنِّي أَكْرَهُ أَنْ أُمِلَّكُمْ، وَإِنِّي أَتَخَوَّلُكُمْ بِالْمَوْعِظَةِ كَمَا كَانَ النَّبِيُّ صلى اللهعليه وسلم يَتَخَوَّلُنَا بِهَا، مَخَافَةَ السَّآمَةِ عَلَيْنَا‏.‏

อบูวาอิ้ล รายงานว่า ท่านอับดุลลอฮ์ (อินนิอับบาส) จะพูดคุย (สอนศาสนา) กับบรรดาผู้คนทุกวันพฤหัสบดี มีชายผู้หนึ่งถามเขาว่า โอ้พ่อของอับดุรเราะห์มาน ฉันปรารถนาที่จะให้ท่านอบรมกับพวกเราทุกๆ วัน เขาตอบว่า มีสิ่งหนึ่งที่ห้ามฉันไม่ให้ทำเช่นนั้น และฉันก็ไม่ชอบที่จะให้พวกท่านเบื่อหน่าย และฉันก็เลือกเวลาที่เหมาะสมในการอบรมแก่พวกท่าน เหมือนดั่งที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เลือกวันที่เหมาะสมแก่พวกเรามาก่อน ด้วยเกรงว่าจะทำให้พวกเราเบื่อหน่าย

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
27.

หมายเลขฐานข้อมูล 244

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ يَسِّرُوا وَلاَ تُعَسِّرُوا، وَبَشِّرُوا وَلاَ تُنَفِّرُوا ‏"

อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “พวกเจ้าจงทำให้ง่าย และอย่าทำให้เกิดความยากลำบาก และพวกเจ้าจงแจ้งข่าวดีและอย่าให้พวกเขาหนี (จากอิสลาม)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
28.

หมายเลขฐานข้อมูล 243

عَنِ ابْنِ مَسْعُودٍ، قَالَ كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يَتَخَوَّلُنَا بِالْمَوْعِظَةِ فِي الأَيَّامِ، كَرَاهَةَ السَّآمَةِ عَلَيْنَا‏.‏

อิบนิมัสอู๊ด รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นจะเลือกวันเวลาที่เหมาะสมในการอบรมตักเตือน เพื่อไม่ให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
29.

หมายเลขฐานข้อมูล 242

باب الْعِلْمُ قَبْلَ الْقَوْلِ وَالْعَمَلِ لِقَوْلِ اللَّهِ تَعَالَى ‏{‏فَاعْلَمْ أَنَّهُ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ‏}‏ فَبَدَأَ بِالْعِلْمِ، وَأَنَّ الْعُلَمَاءَ هُمْ وَرَثَةُ الأَنْبِيَاءِ ـ وَرَّثُوا الْعِلْمَ ـ مَنْ أَخَذَهُ أَخَذَ بِحَظٍّ وَافِرٍ، وَمَنْ سَلَكَ طَرِيقًا يَطْلُبُ بِهِ عِلْمًا سَهَّلَ اللَّهُ لَهُ طَرِيقًا إِلَى الْجَنَّةِ‏.‏ وَقَالَ جَلَّ ذِكْرُهُ ‏{‏إِنَّمَا يَخْشَى اللَّهَمِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاءُ‏}‏ وَقَالَ ‏{‏وَمَا يَعْقِلُهَا إِلاَّ الْعَالِمُونَ‏}‏ ‏{‏وَقَالُوا لَوْ كُنَّا نَسْمَعُ أَوْ نَعْقِلُ مَا كُنَّا فِي أَصْحَابِ السَّعِيرِ‏}‏‏.‏ وَقَالَ ‏{‏هَلْ يَسْتَوِي الَّذِينَ يَعْلَمُونَ وَالَّذِينَ لاَ يَعْلَمُونَ‏}‏‏.‏ وَقَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مَنْ يُ رِدِ اللَّهُ بِهِخَيْرًا يُفَقِّهْهُ فِي الدِّينِ، وَإِنَّمَا الْعِلْمُ بِالتَّعَلُّمِ ‏"‏‏.‏ وَقَالَ أَبُو ذَرٍّ لَوْ وَضَعْتُمُ الصَّمْصَامَةَ عَلَى هَذِهِ وَأَشَارَ إِلَى قَفَاهُ ـ ثُمَّ ظَنَنْتُ أَنِّي أُنْفِذُ كَلِمَةً سَمِعْتُهَا مِنَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَبْلَ أَنْ تُجِيزُوا عَلَىَّ لأَنْفَذْتُهَا‏.‏ وَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ‏{‏كُونُوا رَبَّانِيِّينَ‏}‏ حُكَمَاءَ فُقَهَاءَ‏.‏ وَيُقَالُ الرَّبَّانِيُّ الَّذِي يُرَبِّ ي النَّاسَ بِصِغَارِ الْعِلْمِ قَبْلَ كِبَارِهِ‏.

บทที่ว่าด้วยเรื่อง ความรู้มาก่อนคำพูดและการกระทำ ด้วยคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้สูงส่งว่า “พึงรู้เถิดว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น” (ซูเราะห์มูฮัมหมัด อายะห์ที่ 19) ดังนั้นจึงเริ่มต้นด้วยความรู้ และแท้จริงบรรดาผู้รู้นั้น พวกเขาคือทายาทของบรรดานบี พวกเขาทิ้งมรดกด้านความรู้เอาไว้, ผู้ใดได้รับความรู้ เขาได้ลาภอันประเสริฐ และผู้ใดเดินทางแสวงหาความรู้ พระองค์อัลลอฮ์จะให้ทางสะดวกในการไปสวรรค์, และพระองค์อัลลอฮ์ ผู้สูงส่งได้ตรัสว่า “แท้จริงผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮ์ในปวงบ่าวของพระองค์คือบรรดาผู้รู้” (ซูเราะห์ฟาฏิร อายะห์ที่ 28) และพระองค์ตรัสอีกว่า “และไม่มีผู้ใดจะใคร่ครวญนอกจากผู้มีความรู้” ซูเราะห์ อัลอังกะบูต อายะห์ที่ 43) “และพวกเขากล่าวว่า หากพวกเราฟังและใช้สติปัญญาใครครวญ เราก็จะไม่ต้องเป็นชาวนรกเช่นนี้” (ซูเราะห์ อัลมุลก์ อายะห์ที่ 10) และพระองค์ตรัสอีกว่า “บรรดาผู้รู้กับบรรดาผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ” (ซูเราะห์อัซซูมัร อายะห์ที่ 9) และท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดที่พระองค์อัลลอฮ์ประสงค์จะให้เขาได้รับความดี พระองค์จะให้เขาได้เข้าใจศาสนา” และแท้จริงความรู้เกิดขึ้นจากการศึกษา อบูซัรริน ได้กล่าวว่า “หากพวกเจ้าติดอาวูที่คมกริบให้กับสิ่งนี้ – แล้วเขาก็ชี้ไปที่ท้ายทอยของเขา - เขากล่าวว่า ฉันเคยจดจำคำพูดนี้มาจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก่อนที่พวกท่านจะตอกย้ำเพื่อให้ฉันจดจำมัน” อิบนิอับบาส กล่าวว่า “พวกท่านจงเป็นผู้ฝึกฝน" (ร๊อบบานียีน) นักปราชญ์ผู้เข้าใจ กล่าวกันว่า คำว่า ร๊อบบานี ก็คือผู้ที่ฝึกฝนความรู้ให้เด็กจนติดเป็นนิสัยก่อนที่เขาจะเติบใหญ่

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
30.

หมายเลขฐานข้อมูล 241

عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ أَبِي بَكْرَةَ، عَنْ أَبِيهِ، ذَكَرَ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَعَدَ عَلَى بَعِيرِهِ، وَأَمْسَكَ إِنْسَانٌ بِخِطَامِهِ ـ أَوْ بِزِمَامِهِ ـ قَالَ ‏"‏ أَىُّ يَوْمٍ هَ ذَا ‏"‏‏.‏ فَسَكَتْنَا حَتَّى ظَنَنَّا أَنَّهُ سَيُسَمِّيهِ سِوَى اسْمِهِ‏.‏ قَالَ ‏"‏ أَلَيْسَ يَوْمَ النَّحْرِ ‏"‏‏.‏ قُلْنَابَلَى‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَأَىُّ شَهْرٍ هَذَا ‏"‏‏.‏ فَسَكَتْنَا حَتَّى ظَنَنَّا أَنَّهُ سَيُسَمِّيهِ بِغَيْرِ اسْمِ هِ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ أَلَيْسَ بِذِي الْحِجَّةِ ‏"‏‏.‏ قُلْنَا بَلَى‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَإِنَّ دِمَاءَكُمْ وَأَمْوَالَكُمْ وَأَعْرَاضَكُمْ بَيْنَكُمْ حَرَامٌ كَحُرْمَةِ يَوْمِكُمْ هَذَا، فِي شَهْرِكُمْ هَذَا، فِي بَلَدِكُمْ هَذَا‏.‏ لِيُبَلِّغِالشَّاهِدُ الْغَائِبَ، فَإِنَّ الشَّاهِدَ عَسَى أَنْ يُبَلِّغَ مَنْ هُوَ أَوْعَى لَهُ مِنْهُ ‏"‏‏

อับดุลเราะห์มาน อิบนิอบีบักเราะห์ รายงานงานจากพ่อของเขา โดยกล่าวถึงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ท่านได้นั่งอยู่บนอูฐ โดยมีคนคอยรั้งเชือกจูงหรือเชือกตะพายอูฐไว้ ท่านกล่าวว่า วันนี้คือวันอะไร ? พวกเราได้นิ่งเงียบจนพวกเราคิดว่า ท่านจะเรียกชื่ออื่นนอกจากชื่อที่พวกเราเรียกกัน ท่านกล่าวว่า มันไม่ใช่วันนะห์ริ (วันเชือดหลังละหมาดอีดิ้ลอัฏฮา) หรอกหรือ ? พวกเราตอบว่า ใช่ครับ ท่านกล่าวอีกว่า เดือนนี้คือเดือนอะไร ? พวกเรานิ่งเงียบเพราะคิดว่าท่านจะเรียกชื่ออื่นนอกจากชื่อที่พวกเราเรียกกัน ท่านกล่าวว่า มันไม่ใช่เดือนซิ้ลฮิจญะห์ (เดือนที่ 12 ทางจันทรคติ) หรอกหรือ ? พวกเราตอบว่า ใช่ครับ ท่านกล่าวว่า “แท้จริงเลือดของพวกเจ้า,ทรัพย์ของพวกเจ้า, และเกียรติของพวกเจ้า เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้าที่จะละเมิดกันเอง ดั่งเช่นเป็นที่ต้องห้ามในวันของพวกเจ้า, ในเดือนของพวกเจ้า และในแผ่นดินของพวกเจ้านี้ มันเป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่ร่วม ณ.ที่นี้จะได้แจ้งเรื่องนี้ให้กับคนที่ไม่ได้มาด้วย เพราะผู้ที่มานี้ย่อมจะต้องเข้าใจดีกว่าผู้ที่รับฟังจากเขาอีกทีหนึ่ง”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
31.

หมายเลขฐานข้อมูล 240

عَنْ أَبِي وَاقِدٍ اللَّيْثِيِّ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بَيْنَمَا هُوَ جَالِسٌ فِي الْمَسْجِدِ وَالنَّاسُ مَعَهُ، إِذْ أَقْبَلَ ثَلاَثَةُ نَفَرٍ، فَأَقْبَلَ اثْنَانِ إِلَى رَسُولِ ا للَّهِ صلى الله عليه وسلم وَذَهَبَ وَاحِدٌ، قَالَ فَوَقَفَا عَلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى اللهعليه وسلم فَأَمَّا أَحَدُهُمَا فَرَأَى فُرْجَةً فِي الْحَلْقَةِ فَجَلَسَ فِيهَا، وَأَمَّا ا لآخَرُ فَجَلَسَ خَلْفَهُمْ، وَأَمَّا الثَّالِثُ فَأَدْبَرَ ذَاهِبًا، فَلَمَّا فَرَغَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أَلاَ أُخْبِرُكُمْ عَنِ النَّفَرِ الثَّلاَثَةِ أَمَّا أَحَدُهُمْ فَأَوَى إِلَ ى اللَّهِ،فَآوَاهُ اللَّهُ، وَأَمَّا الآخَرُ فَاسْتَحْيَا، فَاسْتَحْيَا اللَّهُ مِنْهُ، وَأَمَّا الآخَرُ فَأَعْرَضَ، فَأَعْرَضَ اللَّهُ عَنْهُ ‏"

อบีวากิด อัลลัยซี่ย์ รายงานว่า ขณะที่ท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้นั่งอยู่ในมัสยิด พร้อมกับผู้คนจำนวนหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีชายสามคนเข้ามา โดยที่สองคนเข้ามาที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ส่วนอีกคนหนึ่งกลับออกไป ทั้งสองคนได้ยืนอยู่ (ในที่ชุมนุม) ณ. ที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยคนหนึ่งเมื่อเห็นที่ว่างในที่ชุมนุมก็ไปนั่งที่นั้น ส่วนอีกคนหนึ่งได้นั่งหลบอยู่ทางด้านหลัง แต่คนที่สามได้กลับออกไป เมื่อท่านรอซูลุ้ลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่างท่านก็กล่าวว่า ฉันจะบอกกับพวกท่านเอาไหมเกี่ยวกับชายสามคนนี้ ? คือคนที่หนึ่งเขาหวังพึ่งพิงกับอัลลอฮ์, พระองค์อัลลอฮ์ก็ให้ที่พึ่งพิงแก่เขา, ส่วนอีกคนหนึ่งเขาละอาย (นั่งหลบอยู่ด้านหลัง) อัลลอฮ์ก็ทรงรับความอายของเขา แต่คนที่สามเขาหันกลับออกไป ดังนั้นอัลลอฮ์จึงหันออกจากเขาด้วยเช่นเดียวกัน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
32.

หมายเลขฐานข้อมูล 239

عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ، قَالَ كَتَبَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم كِتَابًا ـ أَوْ أَرَادَ أَنْ يَكْتُبَ ـ فَقِيلَ لَهُ إِنَّهُمْ لاَ يَقْرَءُونَ كِتَابًا إِلاَّ مَخْتُومًا‏.‏ فَاتَّخَذَ خَاتَمًا مِنْ فِ ضَّةٍ نَقْشُهُ مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللَّهِ‏.‏ كَأَنِّي أَنْظُرُ إِلَى بَيَاضِهِ فِي يَدِهِ‏.‏ فَقُلْتُ لِقَتَادَةَ مَنْ قَالَنَقْشُهُ مُحَمَّدٌ رَسُولُ اللَّهِ قَالَ أَنَسٌ‏.‏

อนัส (บินมาลิก) รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เขียนสาสน์ – หรือท่านต้องการที่จะเขียนสาสน์ ก็มีผู้กล่าวกับท่านว่า พวกเขาจะไม่อ่านสาสน์ใดๆที่ไม่ได้ถูกประทับตรา ดังนั้นท่านจึงได้นำแหวนเงินของท่านมาสลักข้อความว่า “มูฮัมหมัดรอซูลุ้ลลอฮ์” ประหนึ่งว่าฉันเห็นแสงระยิบระยับในมือของท่านนบี ฉัน (ซัวอ์บะห์) ได้กล่าวกับ ก่อตาดะห์ว่า ผู้ใดรายงานว่า แหวนนั้นสลักคำว่า “มูฮัมหมัดรอซูลุ้ลลอฮ์” เขา (ก่อตาดะห์) ตอบว่า อนัส เป็นผู้รายงาน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
33.

หมายเลขฐานข้อมูล 238

عَنْ عُبَيْدِ اللَّهِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عُتْبَةَ بْنِ مَسْعُودٍ، أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، أَخْبَرَهُ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بَعَثَ بِكِتَابِهِ رَجُلاً، وَأَمَ رَهُ أَنْ يَدْفَعَهُ إِلَى عَظِيمِ الْبَحْرَيْنِ، فَدَفَعَهُ عَظِيمُ الْبَحْرَيْنِ إِلَى كِسْرَى، فَلَمَّا قَرَأَهُ مَزَّقَهُ‏.‏فَحَسِبْتُ أَنَّ ابْنَ الْمُسَيَّبِ قَالَ فَدَعَا عَلَيْهِمْ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَنْ يُمَزَّقُوا كُلَّ مُمَزَّقٍ‏.‏

อุบัยดิลลอฮ์ อิบนิอับดิลลาฮ์ อิบนิอุตบะห์ อิบนิมัสอู๊ด รายงานว่า อับดุลลอฮ์ อิบนิอับบาส ได้บอกกับเขาว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้มอบให้ชายผู้หนึ่งนำสาสน์ของท่านโดยกำชับกับเขาว่า ให้นำไปส่งให้เจ้านครแห่งบาห์เรน, เมื่อเจ้านครแห่งบาห์เรนได้รับสาสน์นั้นก็ส่งต่อไปให้โคสโร่ (จักรพรรดิ์เปอร์เซีย) หลังจากที่โคสโร่ (ใช้ให้อำมาตย์) อ่าน( ให้ฟัง) เสร็จแล้ว ก็ (ใช้อำมาตย์) ฉีกสาสน์นั้นทิ้ง ( อิบนุซิฮาบ หนึ่งในผู้รายงานกล่าวว่า) ฉันคิดว่า อิบนุมัซัยยับ ได้กล่าวในคำรายงานว่า “ท่านรอซูลุ้ลลฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้สาปแช่งพวกเขาให้ถูกฉีกร่างทุกคนที่ฉีก (และใช้ให้ฉีก) สาสน์นั้น”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
34.

หมายเลขฐานข้อมูล 237

عَنْ شَرِيكِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ أَبِي نَمِرٍ، أَنَّهُ سَمِعَ أَنَسَ بْنَ مَالِكٍ، يَقُولُ بَيْنَمَا نَحْنُ جُلُوسٌ مَعَ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم فِي الْمَسْجِدِ، دَخَلَ رَجُلٌ عَلَ ى جَمَلٍ فَأَنَاخَهُ فِي الْمَسْجِدِ، ثُمَّ عَقَلَهُ، ثُمَّ قَالَ لَهُمْ أَيُّكُمْ مُحَمَّدٌ وَالنَّبِيُّ صلى اللهعليه وسلم مُتَّكِئٌ بَيْنَ ظَهْرَانَيْهِمْ‏.‏ فَقُلْنَا هَذَا الرَّجُلُ الأَبْيَضُ الْمُتَّكِ فَقَالَ لَهُ الرَّجُلُ ابْنَ عَبْدِ الْمُطَّلِبِ فَقَالَ لَهُ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ قَدْ أَجَبْتُكَ ‏"‏‏.‏ فَقَالَ الرَّجُلُ لِلنَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم إِنِّي سَائِلُكَ فَمُشَدِّدٌ عَ لَيْكَ فِيالْمَسْأَلَةِ فَلاَ تَجِدْ عَلَىَّ فِي نَفْسِكَ‏.‏ فَقَالَ ‏"‏ سَلْ عَمَّا بَدَا لَكَ ‏"‏‏.‏ فَقَالَ أَسْأَلُكَ بِرَبِّكَ وَرَبِّ مَنْ قَبْلَكَ، آللَّهُ أَرْسَلَكَ إِلَى النَّاسِ كُلِّهِمْ فَقَالَ ‏"‏ اللَّهُمَّ نَعَمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَنْشُدُكَ بِاللَّهِ، آللَّهُ أَمَرَكَ أَنْ نُصَلِّيَ الصَّلَوَاتِ الْخَمْسَ فِي الْيَوْمِ وَاللَّيْلَةِ قَالَ ‏"‏اللَّهُمَّ نَعَمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَنْشُدُكَ بِاللَّهِ، آللَّهُ أَمَرَكَ أَنْ نَصُومَ هَذَا الشَّهْرَ مِنَ السَّنَةِ قَالَ ‏"‏ اللَّهُمَّ نَعَمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَنْشُدُكَ بِاللَّهِ، آللَّهُ أَمَرَكَ أَنْ تَأْخُذَ هَذِهِ الصَّدَقَةَ مِنْ أَغْنِيَائِنَا فَتَقْسِمَهَا عَلَى فُقَرَائِنَا فَقَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ اللَّهُمَّ نَعَمْ ‏"‏‏.‏فَقَالَ الرَّجُلُ آمَنْتُ بِمَا جِئْتَ بِهِ، وَأَنَا رَسُولُ مَنْ وَرَائِي مِنْ قَوْمِي، وَأَنَا ضِمَامُ بْنُ ثَعْلَبَةَ أَخُو بَنِي سَعْدِ بْنِ بَكْرٍ‏.

รายงานจาก ซะรีก อิบนิอับดิลาฮ์ อิบนิอบีนะมิร ว่า เขาได้ยิน อนัส บินมาลิก กล่าวว่า ขณะที่พวกเรานั่งอยู่ในมัสยิดพร้อมกับท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทันใดนั้นก็มีชายผู้หนึ่งขี่อูฐมา เขาได้ให้อูฐคุกเข่าลง และผูกขาขน้าของมันไว้ที่มัสยิด และถามบรรดาศอฮาบะห์ว่า คนไหนคือมูฮัมหมัด ตอนนั้นท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังเอกเขนกอยู่ พวกเราตอบว่า ผู้ชายร่างขาวที่นอนเอนเขนกอยู่นี่ไง ชายผู้นั้นได้กล่าวกับท่านนบีว่า โอ้ลูก (หลาน)ของอับดุลมุฏตอลิบเอ๋ย ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้ตอบกลับกว่า ว่าอย่างไรหรือ ชายผู้นั้นได้กล่าววแก่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า ฉันจะถามคำถาม ซึ่งมันอาจจะเป็นที่ยุ่งยากกับท่าน ฉันหวังว่าท่านคงจะไม่ขุ่นเคือง ท่านตอบว่า ถามมาเถิดตามที่ท่านต้องการ เขากล่าวว่า ฉันถามท่านเกี่ยวกับองค์อภิบาลของท่าน และผู้เป็นองค์อภิบาลของผู้คนก่อนหน้าท่าน พระองค์อัลลอฮ์ อย่างนั้นหรือที่ส่งท่านมาในมวลมนุษย์ทั้งหมด ? ท่านตอบว่า ข้าแต่อัลลอฮ์ ถูกต้องแล้ว เขากล่าวว่า ฉันขอถามท่านด้วยอัลลอฮ์ ว่า อัลลอฮ์อย่างนั้นหรือที่ใช้ท่านให้ละหมาดห้าเวลาในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ? ท่านตอบว่า ข้าแต่อัลลอฮ์ เช่นนั้นแหละถูกต้องแล้ว เขากล่าวว่า ฉันขอถามท่านด้วยอัลลอฮ์ ว่า อัลลอฮ์อย่างนั้นหรือ ที่ใช้ท่านให้ถือศีลอดในเดือน (รอมฏอน) นี้ของทุกปี ? ท่านตอบว่า ข้าแต่อัลลอฮ์ เช่นนั้นแหละถูกต้องแล้ว เขากล่าวว่า ฉันขอถามท่านด้วยอัลลอฮ์ ว่า อัลลอฮ์อย่างนั้นหรือที่ใช้ท่านให้บริจาคโดยนำจากคนมั่งคั่งในหมู่พวกเราและจัดส่วนแจกจ่ายให้กับคนยากจนในหมู่พวกเรา ? ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า ข้าแต่อัลลอฮ์ ถูกต้องแล้ว ชายผู้นั้นกล่าวว่า ฉันขอศรัทธาต่อสิ่งที่ท่านได้นำมา และฉันเป็นตัวแทนของกลุ่มชนที่รอคอยอยู่เบื้องหลัง และฉันคือ ดิมาม บุตรของ ซะอ์ละบะห์ เป็นพี่น้องกับ บนีซะอด์ บินบักร์

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
35.

หมายเลขฐานข้อมูล 236

عَنِ ابْنِ عُمَرَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِنَّ مِنَ الشَّجَرِ شَجَرَةً لاَ يَسْقُطُ وَرَقُهَا، وَإِنَّهَا مَثَلُ الْمُسْلِمِ، حَدِّثُونِي مَا هِيَ ‏"‏‏.‏ قَالَ فَوَقَعَ النَّا سُ فِي شَجَرِ الْبَوَادِي‏.‏ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ فَوَقَعَ فِي نَفْسِي أَنَّهَا النَّخْلَةُ، ثُمَّ قَالُوا حَدِّثْنَامَا هِيَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ هِيَ النَّخْلَةُ ‏"‏‏.‏

อิบนุอุมัร รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงมีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่ใบของมันไม่ร่วง มันก็เช่นเดียวกับมุสลิมนั่นแหละ พวกเจ้าบอกฉันซิว่ามันคือต้นไม้ชนิดใด ? เขากล่าวว่า บรรดาผู้คนต่างก็คิดว่ามันคือต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กลางทะเลทราย อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า ฉันคิดอยู่ในใจว่า มันต้องเป็นต้นอินผลัมแน่นอน หลังจากนั้นบรรดาศอฮาบะห์ก็ถามว่า ได้โปรดบอกกับพวกเราเถิดว่า มันคือต้นอะไร ? โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “มันคือต้นอินผลัม”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
36.

หมายเลขฐานข้อมูล 235

عَنِ ابْنِ عُمَرَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِنَّ مِنَ الشَّجَرِ شَجَرَةً لاَ يَسْقُطُ وَرَقُهَا، وَإِنَّهَا مَثَلُ الْمُسْلِمِ، فَحَدِّثُونِي مَا هِيَ ‏"‏‏.‏ فَوَقَعَ ال نَّاسُ فِي شَجَرِ الْبَوَادِي‏.‏ قَالَ عَبْدُ اللَّهِ وَوَقَعَ فِي نَفْسِي أَنَّهَا النَّخْلَةُ، فَاسْتَحْيَيْتُثُمَّ قَالُوا حَدِّثْنَا مَا هِيَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ هِيَ النَّخْلَةُ ‏"‏‏.‏

อิบนุอุมัร รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงมีต้นไม้อยู่ชนิดหนึ่งที่ใบของมันจะไม่ร่วง และมันก็เหมือนมุสลิมนั่นแหละ พวกเจ้าบอกฉันได้ไหมว่ามันคือต้นอะไร ? บรรดาผู้คนต่างก็คิดว่าเป็นต้นไม้ที่ขึ้อยู่กลางทะเลทราย, อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า ฉันก็คิดอยู่ในใจว่า มันต้องเป็นต้นอินผลัมแน่นอน แต่ฉันอายที่จะตอบคำถาม หลังจากนั้นบรรดาศอฮาบะห์ก็ถามว่า ได้โปรดบอกพวกเราเถิดว่า มันคือต้นอะไร ? ท่านตอบว่า มันคือต้นอินผลัม

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
37.

หมายเลขฐานข้อมูล 234

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو، قَالَ تَخَلَّفَ عَنَّا النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم فِي سَفْرَةٍ سَافَرْنَاهَا، فَأَدْرَكَنَا وَقَدْ أَرْهَقَتْنَا الصَّلاَةُ وَنَحْنُ نَتَوَضَّأُ، فَجَعَلْنَا نَمْسَ حُ عَلَى أَرْجُلِنَا، فَنَادَى بِأَعْلَى صَوْتِهِ ‏"‏ وَيْلٌ لِلأَعْقَابِ مِنَ النَّارِ ‏"‏‏.‏ مَرَّتَيْنِ أَوْثَلاَثًا‏.‏

อับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เดินทางตามหลังพวกเรามา,ในการเดินทางครั้งหนึ่ง และมาทันพวกเราตอนที่เวลาละหมาด (อัศริ) มาถึงพอดี, ขณะที่พวกเรากำลังอาบน้ำละหมาดโดยเช็ดเท้าของพวกเราอยู่นั้น ท่านได้ตะโกนเสียงดังสองหรือสามครั้งว่า “ความวิบัติจะประสบกับส้นเท้าทั้งหลายจากไฟนรก” หมายเหตุ ฮะดีษบทนี้เป็นคำห้ามเช็ดเท้าในขณะอาบน้ำละหมาด (หมายถึงขณะที่อยู่ในสภาพเท้าเปล่า) แต่อนุมัติให้เช็ดได้สำหรับผู้ที่สวมโค๊ฟ ซึ่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นผู้รายงานฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
38.

หมายเลขฐานข้อมูล 233

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ بَيْنَمَا النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم فِي مَجْلِسٍ يُحَدِّثُ الْقَوْمَ جَاءَهُ أَعْرَابِيٌّ فَقَالَ مَتَى السَّاعَةُ فَمَضَى رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عل يه وسلم يُحَدِّثُ، فَقَالَ بَعْضُ الْقَوْمِ سَمِعَ مَا قَالَ، فَكَرِهَ مَا قَالَ، وَقَالَ بَعْضُهُمْبَلْ لَمْ يَسْمَعْ، حَتَّى إِذَا قَضَى حَدِيثَهُ قَالَ ‏"‏ أَيْنَ ـ أُرَاهُ ـ السَّائِلُ عَنِ ال سَّاعَةِ ‏"‏‏.‏ قَالَ هَا أَنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَإِذَا ضُيِّعَتِ الأَمَانَةُ فَانْتَظِرِ السَّاعَةَ ‏"‏‏.‏ قَالَ كَيْفَ إِضَاعَتُهَا قَالَ ‏"‏ إِذَا وُسِّدَ الأَمْرُ إِلَى غَيْرِ أَهْلِهِ فَانْتَظِرِ السَّا عَةَ ‏"‏‏

อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ขณะที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม อยู่ในที่ประชุมโดยกำลังสนทนาอยู่กับหมู่ชนอยู่นั้น ได้มีอาหรับชนบทคนหนึ่งมาหาท่าน แล้วถามว่า เมื่อไหร่กาลอวสานจะเกิดขึ้น ? แต่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่ได้ตอบคำถาม และยังคงสนทนากับหมู่ชนนั้นต่อไป จนมีบางคนกล่าวว่า ท่านนบีได้ยินแต่ไม่ชอบที่เขาถาม และบางคนก็กล่าวว่า ท่านไม่ยินคำถาม แต่เมื่อท่านสนทนาจบก็กล่าวว่า คนถามอยู่ที่ไหน คนที่ถามเกี่ยวกับวันอวสานอยู่ไหน ? เขาตอบว่า ฉันอยู่นี่ โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า (หนึ่งในสัญญาณของกาลอวสานคือ) “เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจได้สูญสิ้นไป ก็จงรอวันอวสานเถิด” เขาถามว่า มันจะหมดไปได้อย่างไรเล่า ? ท่านตอบว่า “เมื่อภาระหน้าที่ถูกมอบหมายให้แก่ผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้น ก็จงรอวันอวสานเถิด”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
39.

หมายเลขฐานข้อมูล 232

باب فَضْلِ الْعِلْمِ وَقَوْلِ اللَّهِ تَعَالَى ‏{‏يَرْفَعِ اللَّهُ الَّذِينَ آمَنُوا مِنْكُمْ وَالَّذِينَ أُوتُوا الْعِلْمَ دَرَجَاتٍ وَاللَّهُ بِمَا تَعْمَلُونَ خَبِيرٌ‏}‏‏.‏ وَقَوْلِهِ عَزَّ وَجَلَّ ‏{‏رَبِّ زِدْ نِي عِلْمًا‏}

บทที่ว่าด้วยเรื่อง ความประเสริฐของวิชาความรู้ ด้วยคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “พระองค์อัลลอฮ์จะทรงยกย่องบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายขั้น และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดียิ่งในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ” ซูเราะห์อัลมุญาดะละห์ อายะห์ที่ 11 และคำดำรัสของพระองค์ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งว่า “องค์อภิบาลของข้าเอ๋ย โปรดเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ข้าด้วยเถิด” ซูเราะห์ ตอฮา อายะห์ที่ 114

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
40.

หมายเลขฐานข้อมูล 231

عَنْ زِيَادِ بْنِ عِلاَقَةَ، قَالَ سَمِعْتُ جَرِيرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ، يَقُولُ يَوْمَ مَاتَ الْمُغِيرَةُ بْنُ شُعْبَةَ قَامَ فَحَمِدَ اللَّهَ وَأَثْنَى عَلَيْهِ وَقَالَ عَلَيْكُمْ بِاتِّقَاءِ اللَّهِ وَحْدَهُ لاَ شَ رِيكَ لَهُ، وَالْوَقَارِ وَالسَّكِينَةِ حَتَّى يَأْتِيَكُمْ أَمِيرٌ، فَإِنَّمَا يَأْتِيكُمُ الآنَ، ثُمَّ قَالَاسْتَعْفُوا لأَمِيرِكُمْ، فَإِنَّهُ كَانَ يُحِبُّ الْعَفْوَ‏.‏ ثُمَّ قَالَ أَمَّا بَعْدُ، فَإِنِّي أَتَيْتُ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قُلْتُ أُبَايِعُكَ عَلَى الإِسْلاَمِ‏.‏ فَشَرَطَ عَلَىَّ وَالنُّصْحِ لِكُلِّ مُسْلِمٍ‏.‏ فَبَايَعْتُهُ عَلَى هَذَا، وَرَبِّ هَذَا الْمَسْجِدِ إِنِّي لَنَاصِحٌ لَكُمْ‏.‏ ثُمَّ اسْتَغْ فَرَوَنَزَلَ‏.‏

ซิยาด บินอิลาเกาะห์รายงานว่า ฉันได้ยิน ญะรีร อิบนิอับดิลลาฮ์ กล่าวในวันที่ อัลมุฆีเราะห์ อิบนุ ซัวอ์บะห์ เสียชีวิต เขาได้ขึ้นบนมิมบัร แล้วเริ่มต้นด้วยการสรรญเสริญอัลลอฮ์ และขอบคุณต่อพระองค์ หลังจากนั้นก็กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงสำรวมตนต่ออัลลอฮ์แต่เพียงองค์เดียว โดยไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ พวกท่านจงสุขุมและหนักแน่น จนกว่าจะมีผู้นำมายังพวกท่าน ซึ่งคงจะมาถึงพวกท่านในอีกไม่ช้านี้ หลังจากนั้นเขาก็กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายจงขออภัยให้แก่ (อัลมุฆีเราะห์) ผู้นำของพวกท่านที่เสียชีวิต เพราะแน่นอนว่า เขาชอบการให้อภัย เขากล่าวอีกว่า และสิ่งที่ฉันจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ฉันได้ไปหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยฉันกล่าวว่า ข้าขอให้สัตยาบันต่อท่านเพื่ออิสลาม ฉะนั้นท่านจึงให้เงื่อนไขแก่ฉันว่า “พร้อมการตักเตือนมุสลิมทุกคน”แล้วฉันก็ให้สัตยาบันต่อท่านในเรื่องนี้ ฉันขอสาบานต่อพระเจ้าแห่งมัสยิดนี้ว่า แท้จริงฉันได้ตักเตือนพวกท่านแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์ แล้วก็เดินลงจากมิมบัร

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
41.

หมายเลขฐานข้อมูล 230

عَنْ جَرِيرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ، قَالَ بَايَعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم عَلَى إِقَامِ الصَّلاَةِ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ، وَالنُّصْحِ لِكُلِّ مُسْلِمٍ‏.‏

รายงานจาก ญะรีร บินอับดิลลาฮ์ ว่า ฉันได้ให้สัตยาบันต่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในการดำรงละหมาด, จ่ายซะกาต, และตักเตือนมุสลิมทุกคน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
42.

หมายเลขฐานข้อมูล 229

عَامِرُ بْنُ سَعْدٍ، عَنْ سَعْدِ بْنِ أَبِي وَقَّاصٍ، أَنَّهُ أَخْبَرَهُ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِنَّكَ لَنْ تُنْفِقَ نَفَقَةً تَبْتَغِي بِهَا وَجْهَ اللَّهِ إِلاَّ أُجِرْتَ عَ لَيْهَا، حَتَّى مَا تَجْعَلُ فِي فِي امْرَأَتِكَ ‏"‏‏.‏

รายงานจากอามิร ว่า ซะอด์ อิบนิอบีวักกอศ ได้บอกกับเขาว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “แท้จริงท่านจะยังไม่ได้จ่ายค่าใช้จ่ายใดๆ ให้กับครอบครัว โดยหวังความโปรดปราณจากพระองค์อัลลอฮ์ นอกจากจะได้รับรางวัลต่อการกระทำเช่นนั้นด้วย แม้แต่เพียงอาหารคำหนึ่งที่ท่านใส่ในปากภรรยาของท่าน”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
43.

หมายเลขฐานข้อมูล 228

عَنْ أَبِي مَسْعُودٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِذَا أَنْفَقَ الرَّجُلُ عَلَى أَهْلِهِ يَحْتَسِبُهَا فَهُوَ لَهُ صَدَقَةٌ ‏"‏‏.‏

อบีมัสอู๊ด รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อชายผู้หนึ่งได้จ่ายให้กับครอบครัวของเขา โดยมุ่งหวังความโปรดปราณจากพระองค์อัลลอฮ์ มันก็คือการบริจาค (ศอดะเกาะห์) ชนิดหนึ่ง”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
44.

หมายเลขฐานข้อมูล 227

عَنْ عُمَرَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ الأَعْمَالُ بِالنِّيَّةِ، وَلِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى اللَّهِ وَرَسُولِهِ، فَهِجْرَتُهُ إِلَى ال لَّهِ وَرَسُولِهِ، وَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ لِدُنْيَا يُصِيبُهَا، أَوِ امْرَأَةٍ يَتَزَوَّجُهَا، فَهِجْرَتُهُإِلَى مَا هَاجَرَ إِلَيْهِ ‏"‏‏.‏

รายงานจาก อุมัร (อิบนุลค๊อต๊อบ) ได้กล่าว (ขณะอยู่บนมิมบัร) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “งานทั้งหลายขึ้นอยู่กับเจตนา และทุกคนจะได้รับตามที่เขาเจตนา ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่การอพยพของเขามีเป้าหมายเพื่ออัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ การอพยพของเขาก็ (มีรางวัลตามที่เขาเจตนาอพยพ) เพื่ออัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ และผู้ใดที่การอพยพของเขามีเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนทางดุนยา หรือเพื่อแต่งงานกับหญิงใด การอพยพของเขาก็ได้รับผลดังที่เขาตั้งใจอพยพไปเพื่อสิ่งนั้น"

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
45.

หมายเลขฐานข้อมูล 226

عَنْ أَبِي جَمْرَةَ، قَالَ كُنْتُ أَقْعُدُ مَعَ ابْنِ عَبَّاسٍ، يُجْلِسُنِي عَلَى سَرِيرِهِ فَقَالَ أَقِمْ عِنْدِي حَتَّى أَجْعَلَ لَكَ سَهْمًا مِنْ مَالِي، فَأَقَمْتُ مَعَهُ شَهْرَيْنِ، ثُمَّ قَالَ إِنَّ وَفْدَ عَبْدِ الْقَيْسِ لَمَّا أَتَوُا النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنِ الْقَوْمُ أَوْ مَنِالْوَفْدُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا رَبِيعَةُ‏.‏ قَالَ ‏"‏ مَرْحَبًا بِالْقَوْمِ ـ أَوْ بِالْوَفْدِ ـ غَيْرَ خَزَايَا وَ لاَ نَدَامَى ‏"‏‏.‏ فَقَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنَّا لاَ نَسْتَطِيعُ أَنْ نَأْتِيَكَ إِلاَّ فِي شَهْرِ الْحَرَامِ، وَبَيْنَنَا وَبَيْنَكَ هَذَا الْحَىُّ مِنْ كُفَّارِ مُضَرَ، فَمُرْنَا بِأَمْرٍ فَصْلٍ، نُخْبِرْ بِهِ مَنْوَرَاءَنَا، وَنَدْخُلْ بِهِ الْجَنَّةَ‏.‏ وَسَأَلُوهُ عَنِ الأَشْرِبَةِ‏.‏ فَأَمَرَهُمْ بِأَرْبَعٍ، وَنَهَاهُمْ عَنْ أَرْبَعٍ، أَمَرَهُمْ بِالإِيمَانِ بِاللَّهِ وَحْدَهُ‏.‏ قَالَ ‏"‏ أَتَدْرُونَ مَا الإِيمَانُ بِاللَّهِ وَحْدَهُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ‏.‏ قَالَ ‏"‏ شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًارَسُولُ اللَّهِ، وَإِقَامُ الصَّلاَةِ، وَإِيتَاءُ الزَّكَاةِ، وَصِيَامُ رَمَضَانَ، وَأَنْ تُعْطُوا مِنَ الْمَغْنَمِ الْخُمُسَ ‏"‏‏.‏ وَنَهَاهُمْ عَنْ أَرْبَعٍ عَنِ الْحَنْتَمِ وَالدُّبَّاءِ وَالنَّقِيرِ وَالْمُزَفَّتِ‏.‏ وَرُبَّمَا قَالَ الْمُقَيَّرِ‏.‏ وَقَالَ ‏"‏ احْفَظُوهُنَّ وَأَخْبِرُوا بِهِنَّ مَنْ وَرَا ءَكُمْ ‏"‏‏.‏

อบูญัมเราะห์ รายงานว่า ฉันได้นั่งอยู่กับ อิบนิอับบาส โดยเขาให้ฉันนั่งอยูบนแคร่ของเขา, เขากล่าวว่า ท่านจะไม่พักกับฉันสักระยะหนึ่งก่อนหรือ เพื่อว่าฉันจะได้แบ่งทรัพย์ส่วนหนึ่งให้ท่านบ้าง (ในบันทึกของอิหม่ามมุสลิมรายงานว่า อบูญัมเราะห์เป็นล่ามแปลภาษาเปอร์เซียให้กับอิบนิอับาส ดูบันทึกอิหม่ามมุสลิม หมวดที่ 1 บทที่ 8 ฮะดีษเลขที่ 0023) ดังนั้นฉันจึงพักอยู่กับเขาเป็นเวลาสองเดือน แล้วเขาได้เล่าให้ฟังว่า แท้จริงมีตัวแทนของอับดุลกอยซ์ มาหาท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านถามว่า เป็นตัวแทนของใคร หรือจากกลุ่มชนใด พวกเขาตอบว่า จากเผ่ารอบีอะฮ์ ท่านกล่าวว่า ยินดีต้อนรับตัวแทนของชนกลุ่มนี้ โดยไม่มีความทุกข์โศกและความระทมใดๆ เขากล่าวว่า คนเหล่านั้นได้กล่าวว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลออ์ แท้จริงพวกเราจะมาหาท่านด้วยความยากลำบากและหนทางก็ไกล ระหว่างทางก็มีบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาจากมุฏ็อรคอยสกัดกั้น ทำให้พวกเราไม่สามารถมาพบท่านได้ (อย่างปลอดภัย) นอกจากเดือนต้องห้ามเท่านั้น (เดือนที่มีสนธิสัญญาสงบศึกสี่เดือนคือ รอญับ, ซุลเกาะอ์ดะห์, ซุลฮิจญะห์, และมุฮัรรอม) ดังนั้นได้โปรดสั่งใช้พวกเราตรงๆเถิด พวกเราจะได้นำไปบอกบรรดากลุ่มชนของเรา เพื่อพวกเราจะได้เข้าสวรรค์ และพวกเขาได้ถามท่านเกี่ยวกับเครื่องดื่ม เขากล่าวว่า (ท่านรอซูล) ได้ใช้พวกเขาสี่ประการ และห้ามพวกเขาสี่ประการ ท่านใช้พวกเขาให้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว โดยกล่าวว่า พวกเจ้ารู้ไหม การศรัทธาต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเป็นเช่นใด พวกเขาตอบว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง ท่านบอกว่า คือ การปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัด ศือศาสนทูตของอัลลอฮ์, การดำรงละหมาด, การจ่ายซะกาต, ถือศีลอดเดือนรอมฏอน , การจัดจ่ายส่วนหนึ่งในห้าของทรัพย์เฉลยที่พวกเจ้าได้มา และท่านห้ามพวกเขาสี่ประการ เกี่ยวกับ (1) ฮันตัม (2) ดุบาอ์ (3) นะกีร (4) มุซัฟฟัร หรือเขากล่าวด้วยคำว่า มุกอยยัร, ท่านนบีกล่าวว่า พวกเจ้าพึงรักษามันไว้ให้ดีและนำไปบอกผู้คนในกลุ่มชนท่านด้วย หมายเหตุ เป้าหมายของข้อห้ามทั้งสี่ประการข้างต้นนั้น เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เกิดการมึนเมา และสืบเนื่องจากภาชนะที่ใช้หมัก-ดองคือ (1) ฮันตัม (ฮันตะมะห์) คือขวด หรือโหล ที่นิยมดองเหล้าหรือใส่ไวน์ (2) ดุบาอ์ หมายถึงภาชนะจากเปลือกกลวงของลูกน้ำเต้าใช้ดองเหล้า (3) นะกีร คือกระบอกไม้ที่ใช้เป็นภาชะสำหรับดองหรือใส่เครื่องดื่มมึนเมา (4) มุซัฟฟัร มุกอยยัร คือชัน หมายถึงภาชนะที่เคลือบหรือยาด้วยชันหรือน้ำมันดิน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
46.

หมายเลขฐานข้อมูล 225

عَنْ عَامِرٍ، قَالَ سَمِعْتُ النُّعْمَانَ بْنَ بَشِيرٍ، يَقُولُ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ الْحَلاَلُ بَيِّنٌ وَالْحَرَامُ بَيِّنٌ، وَبَيْنَهُمَا مُشَبَّهَاتٌ لاَ يَعْلَمُهَا كَثِيرٌ مِنَ النَّاسِ، فَمَنِ اتَّقَى الْمُشَبَّهَاتِ اسْتَبْرَأَ لِدِيِنِهِ وَعِرْضِهِ، وَمَنْوَقَعَ فِي الشُّبُهَاتِ كَرَاعٍ يَرْعَى حَوْلَ الْحِمَى، يُوشِكُ أَنْ يُوَاقِعَهُ‏.‏ أَلاَ وَإِنَّ لِكُلِّ مَلِكٍ حِمًى، أَلاَ إِنَّ حِمَى اللَّهِ فِي أَرْضِهِ مَحَارِمُهُ، أَلاَ وَإِنَّ فِي الْجَسَدِ مُضْغَةً إِذَا صَلَحَتْ صَلَحَ الْجَسَدُ كُلُّهُ، وَإِذَا فَسَدَتْ فَسَدَ الْجَسَدُ كُ لُّهُ‏.‏ أَلاَوَهِيَ الْقَلْبُ ‏"

รายงานจาก อามิร ว่า ฉันเคยได้ยิน อัล-นัวอ์มาน บินบะซีร กล่าวว่า ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สิ่งอนุมัติก็ชัดเจน และสิ่งต้องห้ามก็ชัดเจน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างมันทั้งสองนี้คือสิ่งคลุมเครือ และผู้คนส่วนมากไม่ค่อยรู้ถึงสิ่งนี้ ดังนั้นผู้ใดก็ตามที่ระวังสิ่งคลุมเครือ ก็เท่ากับเขาป้องกันศาสนาของเขาและเกียรติของเขาให้บริสุทธิ์ แต่ผู้ใดที่ถลำเข้าไปสู่สิ่งคลุมเครือ เขาก็เป็นดังเช่นผู้เลี้ยงแกะรอบเขตสงวนของผู้อื่น ที่มันอาจจะล้ำเข้าไปในเขตนั้นได้ พึงระวังไว้เถิด เพราะแท้จริงทุกกษัตริย์ทุกพระองค์ต่างก็มีเขตสงวน แต่ทว่าเขตสงวนของอัลลอฮ์ในดินนี้นั้น ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม พึงระวังไว้เถิด ในร่างกายของมนุษย์นั้นมีก้อนเลือดอยู่ก้อนหนึ่ง หากก้อนเลือดนั้นดีร่างกายทุกส่วนก็จะดีไปด้วย แต่หากก้อนเลือดนั้นเสีย ร่างกายทุกส่วนก็จะเสียหายไปด้วย พึงรู้ไว้เถิด (ก้อนเลือดนั้น) มันคือหัวใจ

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
47.

หมายเลขฐานข้อมูล 224

أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، أَخْبَرَهُ قَالَ أَخْبَرَنِي أَبُو سُفْيَانَ، أَنَّ هِرَقْلَ، قَالَ لَهُ سَأَلْتُكَ هَلْ يَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ، فَزَعَمْتَ أَنَّهُمْ يَزِيدُونَ، وَكَذَلِكَ الإِيمَانُ حَتَّى يَتِمَّ‏.‏ وَسَأَلْتُكَ هَلْ يَرْتَدُّ أَحَدٌ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ، فَزَعَمْتَ أَنْلاَ، وَكَذَلِكَ الإِيمَانُ حِينَ تُخَالِطُ بَشَاشَتُهُ الْقُلُوبَ، لاَ يَسْخَطُهُ أَحَدٌ‏.‏

แท้จริง อับดุลลออ์ อิบนิอับบาส ได้บอกกับเขา (อุบัยดิลลาห์) โดยกล่าวว่า อบูซุฟยาน ได้บอกกับฉันว่า จักรพรรดิเฮราคลิอุส กล่าวกับเขาว่า ฉันถามเจ้าว่าผู้คน (ที่ศรัทธาต่อนบีมูฮัมหมัด) มีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ? เจ้าก็อ้างว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นนี้แหละคือการศรัทธาจนกว่ามันจะครบสมบูรณ์ และเมื่อฉันถามเจ้าว่า มีคนใดที่ออกจากศาสนาด้วยความไม่พอใจในศาสนานี้หลังจากที่ศรัทธาแล้วหรือไหม ? เจ้าก็อ้างว่าไม่มี อย่างนี้แหละคือการศรัทธาในขณะที่มันซึมซับอยู่ในหัวใจ ก็จะไม่มีผู้ใดชิงชังมัน อ้างอิงเพิ่มเติม ฮะดีษเลขที่ 7

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
48.

หมายเลขฐานข้อมูล 223

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بَارِزًا يَوْمًا لِلنَّاسِ، فَأَتَاهُ جِبْرِيلُ فَقَالَ مَا الإِيمَانُ قَالَ ‏"‏ الإِيمَانُ أَنْ تُؤْمِنَ بِاللَّهِ وَمَلاَئِكَتِهِ وَبِلِقَا ئِهِ وَرُسُلِهِ، وَتُؤْمِنَ بِالْبَعْثِ ‏"‏‏.‏ قَالَ مَا الإِسْلاَمُ قَالَ ‏"‏ الإِسْلاَمُ أَنْ تَعْبُدَ اللَّهَ وَلاَتُشْرِكَ بِهِ، وَتُقِيمَ الصَّلاَةَ، وَتُؤَدِّيَ الزَّكَاةَ الْمَفْرُوضَةَ، وَتَصُومَ رَمَ ضَانَ ‏"‏‏.‏ قَالَ مَا الإِحْسَانُ قَالَ ‏"‏ أَنْ تَعْبُدَ اللَّهَ كَأَنَّكَ تَرَاهُ، فَإِنْ لَمْ تَكُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ يَرَاكَ ‏"‏‏.‏ قَالَ مَتَى السَّاعَةُ قَالَ ‏"‏ مَا الْمَسْئُولُ عَنْهَا بِأَعْلَمَ مِنَ السَّائِلِ، وَ سَأُخْبِرُكَعَنْ أَشْرَاطِهَا إِذَا وَلَدَتِ الأَمَةُ رَبَّهَا، وَإِذَا تَطَاوَلَ رُعَاةُ الإِبِلِ الْبُهْمُ فِي الْبُنْيَانِ، فِي خَمْسٍ لاَ يَعْلَمُهُنَّ إِلاَّ اللَّهُ ‏"‏‏.‏ ثُمَّ تَلاَ النَّبِيُّ صلى الله ع ليه وسلم ‏{‏إِنَّ اللَّهَ عِنْدَهُ عِلْمُ السَّاعَةِ‏}‏ الآيَةَ‏.‏ ثُمَّ أَدْبَرَ فَقَالَ ‏"‏ رُدُّوهُ ‏"‏‏.‏ فَلَمْ يَرَوْا شَيْئًا‏.‏ فَقَالَ ‏"‏هَذَا جِبْرِيلُ جَاءَ يُعَلِّمُ النَّاسَ دِينَهُمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ جَعَ لَ ذَلِكَ كُلَّهُ مِنَ الإِيمَانِ‏.‏

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ขณะที่ได้ปรากฏตัวต่อหน้ามวลชนอยู่นั้น มีชายผู้หนึ่งมาหาท่าน แล้วถามว่า อีหม่าน คืออะไร ? ท่านตอบว่า อีหม่าน คือการที่ท่านจะต้องศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์, ต่อมะลาอิกะห์ของพระองค์, ศรัทธาต่อการกลับไปพบพระองค์ และศรัทธาต่อบรรดารอซูลของพระองค์, และศรัทธาต่อการฟื้นคืนชีพ (ในวันกิยามะห์) เขาถามต่ออีกว่า อิสลาม คืออะไร ? ท่านตอบว่า อิสลาม คือการที่ท่านจะต้องสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์ โดยไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาตีกับพระองค์ และการที่ท่านจะต้องดำรงละหมาด,จ่ายซะกาตที่เป็นข้อบัญญัติ และถือศีลอดเดือนรอมฏอน เขาถามว่า อัลเอียะห์ซาน คืออะไร ? ท่านตอบว่า คือการที่ท่านจะต้องสักการะต่อพระองค์อัลลอฮ์ประหนึ่งว่าท่านได้เห็นพระองค์ หากแต่ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่พระองค์ทรงเห็นท่าน เขาถามว่า กาลอวสาน จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ท่านตอบว่า ผู้ถูกถามก็ไม่รู้ดีไปกว่าผู้ถาม แต่ฉันจะบอกถึงสัญญาณของมัน คือ เมื่อนางทาสคลอดผู้เป็นนายของนางออกมา และเมื่อผู้เลี้ยงอูฐ, ผู้ต้อนฝูงแกะ แข่งขันกันสร้างอาคารสูง (นี่คือสัญญาณของมัน) และยังมีอีกห้าประการซึ่งไม่มีผู้ใดล่วงรู้นอกจากอัลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านก็อ่านอัลกุรอาน อายะห์ที่ว่า “แท้จริงอัลลอฮ์นั้น ความรู้เรื่องกาลอวสานมีอยู่ ณ.ที่พระองค์” ซูเราะห์ลุกมาน อายะห์ที่ 34) หลังจากนั้นผู้ถามก็กลับไป ท่านนบีจึงกล่าวว่า พวกเจ้าไปตามเขากลับมา (เมื่อพวกเขาไปตามหา) ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ เลย ท่านนบีได้กล่าวว่า เขาคือญิบรีลที่มาสอนผู้คนในเรื่อง (หลักสำคัญ) ของศาสนา อบูอับดิลลาฮ์ (อิหม่ามบุคคอรี) กล่าวว่า ท่านนบีได้พิจารณาว่าทุกสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
49.

หมายเลขฐานข้อมูล 222

عَنْ أَنَسٍ، قَالَ أَخْبَرَنِي عُبَادَةُ بْنُ الصَّامِتِ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَرَجَ يُخْبِرُ بِلَيْلَةِ الْقَدْرِ، فَتَلاَحَى رَجُلاَنِ مِنَ الْمُسْلِمِينَ فَقَالَ ‏"‏ إِ نِّي خَرَجْتُ لأُخْبِرَكُمْ بِلَيْلَةِ الْقَدْرِ، وَإِنَّهُ تَلاَحَى فُلاَنٌ وَفُلاَنٌ فَرُفِعَتْ وَعَسَىأَنْ يَكُونَ خَيْرًا لَكُمُ الْتَمِسُوهَا فِي السَّبْعِ وَالتِّسْعِ وَالْخَمْسِ ‏"‏‏

อนัส รายงานว่า อุบาดะห์ อิบนุลศอมิต บอกกับฉันว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมาบอกเกี่ยวกับค่ำคืนแห่งการกำหนดสภาวการณ์ (ลัยละตุ้ลก็อดร์) ขณะนั้นมีชายมุสลิมสองคนกำลังโต้เถียงกัน ท่านกล่าวว่า แท้จริงฉันออกมาเพื่อจะบอกพวกเจ้าเกี่ยวกับค่ำคืนแห่งการกำหนดสภาวการณ์ แต่คนนี้กับคนนี้กำลังโต้เถียงกัน ความรู้เรื่องนี้จึงถูกยกออกไป แต่ฉันหวังว่าจะเป็นสิ่งดีกับพวกเจ้า, ดังนั้นพวกเจ้าจงแสวงหา (คืนลัยละตุ้ลก็อด) ในคืนที่เจ็ด,คืนที่เก้า และคืนที่ห้า (ของสิบคืนสุดท้ายในเดือนรอมฏอน)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
50.

หมายเลขฐานข้อมูล 221

عَنْ زُبَيْدٍ، قَالَ سَأَلْتُ أَبَا وَائِلٍ عَنِ الْمُرْجِئَةِ،، فَقَالَ حَدَّثَنِي عَبْدُ اللَّهِ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ سِبَابُ الْمُسْلِمِ فُسُوقٌ، وَقِتَالُهُ كُفْرٌ ‏"

รายงานจากซุบัยด์ ว่า ฉันได้ถาม อบาวาอิ้ลเกี่ยวกับ (กลุ่มลัทธินอกรีต) มุรญีอะห์ เขาตอบว่า อับดุลลอฮ์ ได้เล่าให้ฉันฟังว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “การด่ามุสลิมเป็นความผิดร้ายแรง และการฆ่ามุสลิม (โดยอธรรม,ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อกำหนดของศาสนา) เท่ากับปฏิเสธการศรัทธา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
51.

หมายเลขฐานข้อมูล 220

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنِ اتَّبَعَ جَنَازَةَ مُسْلِمٍ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا، وَكَانَ مَعَهُ حَتَّى يُصَلَّى عَلَيْهَا، وَيَفْرُغَ مِنْ دَفْنِهَ ا، فَإِنَّهُ يَرْجِعُ مِنَ الأَجْرِ بِقِيرَاطَيْنِ، كُلُّ قِيرَاطٍ مِثْلُ أُحُدٍ، وَمَنْ صَلَّى عَلَيْهَا ثُمَّرَجَعَ قَبْلَ أَنْ تُدْفَنَ فَإِنَّهُ يَرْجِعُ بِقِيرَاطٍ ‏"

อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มุสลิมคนใดตามไปส่งศพมุสลิมด้วยกัน ซึ่งเขามีศรัทธามั่นและแสวงหาความโปรดปราณจากพระองค์อัลลอฮ์ โดยได้อยู่กับเขาจนกระทั่งละหมาดเสร็จ และฝังเขาจนกระทั่งเรียบร้อย แน่นอนว่าเขาได้กลับมาพร้อมกับรางวัลสองกะรัต ซึ่งแต่ละกะรัตนั้นเท่ากับภูเขาอุฮุด แต่ถ้าผู้ใดละหมาดให้เขาแล้วก็กลับโดยไม่ได้ไปร่วมฝังศพเขา, เขาก็จะกลับมาพร้อมกับรางวัลหนึ่งกะรัตเท่านั้น”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
52.

หมายเลขฐานข้อมูล 219

عَنْ عَمِّهِ أَبِي سُهَيْلِ بْنِ مَالِكٍ، عَنْ أَبِيهِ، أَنَّهُ سَمِعَ طَلْحَةَ بْنَ عُبَيْدِ اللَّهِ، يَقُولُ جَاءَ رَجُلٌ إِلَى رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنْ أَهْلِ نَجْدٍ، ثَائِرُ ال رَّأْسِ، يُسْمَعُ دَوِيُّ صَوْتِهِ، وَلاَ يُفْقَهُ مَا يَقُولُ حَتَّى دَنَا، فَإِذَا هُوَ يَسْأَلُ عَنِالإِسْلاَمِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ ـ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ خَمْسُ صَلَوَاتٍ فِي ا لْيَوْمِ وَاللَّيْلَةِ ‏"‏‏.‏ فَقَالَ هَلْ عَلَىَّ غَيْرُهَا قَالَ ‏"‏ لاَ، إِلاَّ أَنْ تَطَوَّعَ ‏"‏‏.‏ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ وَصِيَامُ رَمَضَانَ ‏"‏‏.‏ قَالَ هَلْ عَلَىَّ غَيْرُهُ قَالَ ‏"‏ لاَ،إِلاَّ أَنْ تَطَوَّعَ ‏"‏‏.‏ قَالَ وَذَكَرَ لَهُ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الزَّكَاةَ‏.‏ قَالَ هَلْ عَلَىَّ غَيْرُهَا قَالَ ‏"‏ لاَ، إِلاَّ أَنْ تَطَوَّعَ ‏"‏‏.‏ قَالَ فَأَدْبَرَ الرَّجُلُ وَهُوَ يَقُولُ وَاللَّهِ لاَ أَزِيدُ عَلَى هَذَا وَلاَ أَنْقُصُ‏.‏ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏أَفْلَحَ إِنْ صَدَقَ ‏"

จากลุงของเขา (อนัส บินมาลิก) ชื่อ อบีซะฮล์ บินมาลิก จากพ่อของเขาว่า เขาเคยได้ยินตอลฮะห์ อิบนุอุบัยดิลลาห์ กล่าวว่า "มีชายผู้หนึ่งจากชาวนัญด์มาหาท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในสภาพที่ผมยุ่งเหยิง เราได้ยินเสียงอึกทึกของเขา แต่เราไม่เข้าใจว่า เขาพูดอะไร จนกระทั่งเขาเข้ามาใกล้ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เราจึงได้รู้ว่าเขามาถามเกี่ยวกับเรื่องของอิสลาม ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า คือการละหมาดห้าเวลาในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เขากล่าวว่า มีสิ่งที่จำเป็นแก่ฉันนอกจากนี้อีกไหม ท่านตอบ ไม่มี นอกจาก (ละหมาดซุนนะห์) ที่ท่านทำโดยสมัครใจ และการถือศีลอดเดือนรอมฏอน เขากล่าวว่า มีสิ่งจำเป็นแก่ฉันนอกจากนี้อีกไหม ท่านตอบว่า ไม่มี นอกจาก (ศีลอดซุนนะห์) ที่ท่านทำโดยสมัครใจ และท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวแก่เขาเรื่องซะกาต เขากล่าวว่า มีสิ่งจำเป็นแก่ฉันนอกจากนี้อีกไหม ท่านตอบว่า ไม่มี นอกจาก (การบริจาค) ที่ท่านสมัครใจ เขา (ผู้รายงาน) กล่าวว่า แล้วชายผู้นั้นก็กลับไปพลางกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันจะไม่เพิ่มและลดหย่อนไปกว่านี้ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า เขาประสบความสำเร็จ หากเขาทำจริงตามที่ได้ยืนยัน”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
53.

หมายเลขฐานข้อมูล 218

عَنْ عُمَرَ بْنِ الْخَطَّابِ، أَنَّ رَجُلاً، مِنَ الْيَهُودِ قَالَ لَهُ يَا أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ، آيَةٌ فِي كِتَابِكُمْ تَقْرَءُونَهَا لَوْ عَلَيْنَا مَعْشَرَ الْيَهُودِ نَزَلَتْ لاَتَّخَذْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ عِيدًا‏.‏ قَالَ أَىُّ آيَةٍ قَالَ ‏{‏الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِيوَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلاَمَ دِينًا‏}‏‏.‏ قَالَ عُمَرُ قَدْ عَرَفْنَا ذَلِكَ الْيَوْمَ وَالْمَكَانَ الَّذِي نَ زَلَتْ فِيهِ عَلَى النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم وَهُوَ قَائِمٌ بِعَرَفَةَ يَوْمَ جُمُعَةٍ‏.‏

อุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ รายงานว่า มีชาวยิวคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านอุมัรว่า โอ้นายแห่งบรรดาผู้ศรัทธา โองการในคัมภีร์ของพวกท่านที่พวกท่านอ่านมันนั้น หากถูกประทานให้แก่ชาวยิวละก็ พวกเราจะถือเอาวันที่ประทานเป็นวันเฉลิมฉลอง ท่านกล่าวว่า โองการไหนหรือ เขาตอบว่าโองการนี้ “วันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูณ์แล้ว และความเมตตาของข้าที่มีต่อพวกเจ้าเปี่ยมล้น และข้าพอใจที่ให้อิสลามเป็นศาสนาแก่พวกเจ้า” อุมัร กล่าวว่า พวกเรารู้ดีถึงวันและสถานที่,ที่ประทานอายะห์ให้แก่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั่นคือขณะที่ท่านนบีอยู่ที่ทุ่งอะรอฟะห์ และเป็นวันศุกร์

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
54.

หมายเลขฐานข้อมูล 217

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ يَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ شَعِيرَةٍ مِنْ خَيْرٍ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَا لَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ بُرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ، وَيَخْرُجُ مِنَ النَّارِ مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَإِلاَّ اللَّهُ، وَفِي قَلْبِهِ وَزْنُ ذَرَّةٍ مِنْ خَيْرٍ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ قَالَ أَبَانُ حَ دَّثَنَا قَتَادَةُ حَدَّثَنَا أَنَسٌ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مِنْ إِيمَانٍ ‏"‏‏.‏ مَكَانَ ‏"‏ مِنْ خَيْرٍ ‏"

อนัส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เขาจะออกจากนรก ผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีความดี (การศรัทธา) น้ำหนักเท่ากับเมล็ดข้าวฟ่าง และเขาจะได้ออกจากนรกผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีการศรัทธา น้ำหนักเท่ากับเมล็ดข้าวสาลี และเขาจะได้ออกจากนรก ผู้ที่กล่าวปฏิญาณว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ และในหัวใจของเขามีการศรัทธา น้ำหนักเท่ากับปรมาณู”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
55.

หมายเลขฐานข้อมูล 216

عَنْ عَائِشَةَ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم دَخَلَ عَلَيْهَا وَعِنْدَهَا امْرَأَةٌ قَالَ ‏"‏ مَنْ هَذِهِ ‏"‏‏.‏ قَالَتْ فُلاَنَةُ‏.‏ تَذْكُرُ مِنْ صَلاَتِهَا‏.‏ قَالَ ‏"‏ مَهْ، عَلَيْكُمْ بِمَا تُطِيقُو نَ، فَوَاللَّهِ لاَ يَمَلُّ اللَّهُ حَتَّى تَمَلُّوا ‏"‏‏.‏ وَكَانَ أَحَبَّ الدِّينِ إِلَيْهِ مَا دَامَ عَلَيْهِ صَاحِبُهُ‏.‏

ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เข้ามาหาเธอ ขณะที่มีหญิงคนหนึ่งอยู่กับเธอด้วย ท่านถามว่า หญิงผู้นี้เป็นใคร เธอตอบว่า หญิงผู้นี้ (และได้บอกให้ท่านนบีทราบ) เธอได้กล่าวชมเชยถึงการละหมาดของนางให้ท่านนบีฟัง ท่านนบีกล่าวว่า “ม๊ะฮ์ ! (คำอุทานที่แสดงความไม่พอใจ) พวกเจ้าจงทำในสิ่งที่มีความสามารถ ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พระองค์อัลลอฮ์ไม่ทรงเหนื่อยเหน่ายต่อการตอบแทน แต่พวกเจ้าจะเหนื่อยหน่าย และศาสนาที่โปรดปราณ ณ.พระองค์อัลลอฮ์ ก็คือผู้ที่ทำอย่างสม่ำเสมอ”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
56.

หมายเลขฐานข้อมูล 215

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ إِذَا أَحْسَنَ أَحَدُكُمْ إِسْلاَمَهُ، فَكُلُّ حَسَنَةٍ يَعْمَلُهَا تُكْتَبُ لَهُ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا إِلَى سَبْعِمِائَةِ ضِعْفٍ، وَكُلُّ سَيِّئَةٍ يَعْمَلُهَا تُكْتَبُ لَهُ بِمِثْلِهَا ‏"‏‏

อบูฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อคนใดในหมู่พวกเจ้าได้ทำให้อิสลามในตัวเขาดีขึ้น (ทำให้ตัวเองใกล้ชิดกับหลักการของศาสนา) ทุกความดีที่เขากระทำจะถูกบันทึกให้แก่เขาเพิ่มพูนสิบเท่าตัวถึงเจ็ดร้อยกว่า และทุกๆความชั่วที่เขาทำ จะถูกบันทึกเท่าที่เขากระทำ”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
57.

หมายเลขฐานข้อมูล 214

أَنَّ أَبَا سَعِيدٍ الْخُدْرِيَّ أَخْبَرَهُ أَنَّهُ، سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ إِذَا أَسْلَمَ الْعَبْدُ فَحَسُنَ إِسْلاَمُهُ يُكَفِّرُ اللَّهُ عَنْهُ كُلَّ سَيِّئَةٍ كَانَ زَلَفَهَا، وَكَانَ بَعْدَ ذَلِكَ الْقِصَاصُ، الْحَسَنَةُ بِعَشْرِ أَمْثَالِهَا إِلَى سَبْعِمِائَةِ ضِعْفٍ،وَالسَّيِّئَةُ بِمِثْلِهَا إِلاَّ أَنْ يَتَجَاوَزَ اللَّهُ عَنْهَا ‏"‏‏

อบูสะอี๊ด อัลคุดรีย์ ได้บอกกับเขา (อะฏออ์ บินยะซาร) ว่า เขาเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อบ่าวคนหนึ่งได้รับอิสลาม และอิสลามของเขาก็ดีเลิศ พระองค์อัลลอฮ์จะทรงลบความผิดทุกชนิดในอดีตให้แก่เขา แต่หลังจากนั้นคือการคิดบัญชี : ความดีนั้นมีผลเพิ่มพูนสิบเท่าตัวถึงเจ็ดร้อยกว่า ส่วนความชั่วนั้นจะถูกบันทึกเท่าที่กระทำ นอกจากพระองค์อัลลอฮ์จะทรงยกโทษให้”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
58.

หมายเลขฐานข้อมูล 213

عَنِ الْبَرَاءِ، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم كَانَ أَوَّلَ مَا قَدِمَ الْمَدِينَةَ نَزَلَ عَلَى أَجْدَادِهِ ـ أَوْ قَالَ أَخْوَالِهِ ـ مِنَ الأَنْصَارِ، وَأَنَّهُ صَلَّى قِبَلَ بَيْتِ الْمَقْدِ سِ سِتَّةَ عَشَرَ شَهْرًا، أَوْ سَبْعَةَ عَشَرَ شَهْرًا، وَكَانَ يُعْجِبُهُ أَنْ تَكُونَ قِبْلَتُهُ قِبَلَالْبَيْتِ، وَأَنَّهُ صَلَّى أَوَّلَ صَلاَةٍ صَلاَّهَا صَلاَةَ الْعَصْرِ، وَصَلَّى مَعَهُ قَوْمٌ، فَخَرَجَ رَجُلٌ مِمَّنْ صَلَّى مَعَهُ، فَمَرَّ عَلَى أَهْلِ مَسْجِدٍ، وَهُمْ رَاكِعُونَ فَقَالَ أَشْهَدُ بِاللَّهِ لَقَدْ صَلَّيْتُ مَعَ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قِبَلَ مَ كَّةَ،فَدَارُوا كَمَا هُمْ قِبَلَ الْبَيْتِ، وَكَانَتِ الْيَهُودُ قَدْ أَعْجَبَهُمْ إِذْ كَانَ يُصَلِّي قِبَلَ بَيْتِ الْمَقْدِسِ، وَأَهْلُ الْكِتَابِ، فَلَمَّا وَلَّى وَجْهَهُ قِبَلَ الْبَيْتِ أَنْكَرُوا ذَلِ كَ‏.‏ قَالَ زُهَيْرٌ حَدَّثَنَا أَبُو إِسْحَاقَ عَنِ الْبَرَاءِ فِي حَدِيثِهِ هَذَا أَنَّهُ مَاتَ عَلَى الْقِبْلَةِ قَبْلَأَنْ تُحَوَّلَ رِجَالٌ وَقُتِلُوا، فَلَمْ نَدْرِ مَا نَقُولُ فِيهِمْ، فَأَنْزَلَ اللَّهُ تَعَا لَى ‏{‏وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ‏}‏

รายงานจากบัรรออ์ (บินอาซิบ) ว่า แท้จริงท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเมื่อตอนที่ท่านอพยพไปที่นครมะดีนะห์แรกๆ ท่านพักอยู่กับปู่ของเขา หรือลุงของเขา ที่เป็นชาวอันศอร โดยท่านนบีละหมาดหันหน้าไปทาง บัยตุ้ลมักดิส เป็นระยะเวลาประมาณ 16 ถึง 17 เดือน แต่ท่านก็ปรารถนาว่าจะได้หันหน้าไปทางทิศที่กะอ์บะห์ตั้งอยู่ แล้วท่านก็ได้ละหมาด ซึ่งเป็นละหมาดแรกที่หันหน้าไปทางกะอ์บะห์ คือละหมาดอัศริ โดยมีประชาชนร่วมละหมาดกับท่านด้วย มีชายผู้หนึ่งที่ละหมาดร่วมกับท่านนบีได้ออกมาด้านนอก โดยผ่านคนที่มัสยิดซึ่งกำลังรูกัวอ์กันอยู่ แล้วกล่าวว่า ข้าขอปฏิญาณต่ออัลลอฮ์, ข้าได้ละหมาดพร้อมกับท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยหันหน้าไปทางทิศมักกะห์ พวกเขาเหล่านั้น (ที่ยังอยู่ในมัสยิด) จึงยังคงอยู่ในท่ารูกัวอ์โดยหันไปทางทิศของกะอ์บะห์ พวกยะฮูดต่าง และบรรดาชาวคัมภีร์ต่างก็พึงพอใจ ที่ท่านนบีได้ละหมาดหันหน้าไปทาง บัยตุ้ลมักดิส แต่เมื่อท่านละหมาดโดยหันหน้าไปทางทิศกะอ์บะห์ พวกเขาจึงไม่ยอมรับ ซุฮัยร์ กล่าวว่า อบูอิสฮาก ได้เล่าให้เราฟัง จากบัรรออ์ เกี่ยวกับฮะดีษในเรื่องนี้ว่า “มีผู้คนได้เสียชีวิตและถูกฆ่าตายไปแล้วมากมายก่อนที่จะหันหน้าไปทางกะอ์บะห์ แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวถึงพวกเขาเหล่านั้นอย่างไร พระองค์อัลลอฮ์จึงได้ประทานอัลกุรอานอายะห์นี้มาว่า “และอัลลอฮ์นั้นไม่ได้ทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญหายไปแต่อย่างใด” (ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 143)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
59.

หมายเลขฐานข้อมูล 212

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ إِنَّ الدِّينَ يُسْرٌ، وَلَنْ يُشَادَّ الدِّينَ أَحَدٌ إِلاَّ غَلَبَهُ، فَسَدِّدُوا وَقَارِبُوا وَأَبْشِرُوا، وَاسْتَعِينُوا بِالْغَ دْوَةِ وَالرَّوْحَةِ وَشَىْءٍ مِنَ الدُّلْجَةِ ‏"‏‏.‏

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ แท้จริงศาสนา (อิสลาม) นั้นง่าย และจะไม่มี (มุสลิม) คนใดที่จะประสบความยากลำบากเกินความสามารถในการถือปฏิบัติศาสนา นอกจากเขามีความสามารถกระทำได้ ดังนั้นพวกเจ้าจงยืนหยัดบนความถูกต้อง และพยายามใกล้ชิดกับหลักการศาสนาให้มากที่สุด และจงรับข่าวดี (คือรางวัลตอบแทนสำหรับผู้ยืนหยัดในศานา) และจงหมั่นเพียร (ทำอิบาดะห์) ทั้งยามเช้า และยามเย็น และช่วงเวลาหนึ่งในยามค่ำคืน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
60.

หมายเลขฐานข้อมูล 211

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مَنْ صَامَ رَمَضَانَ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ ‏"‏‏

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดถือศีลอดเดือนรอมฏอนอย่างมุ่งหวังในความเมตตาและการตอบแทนจากพระองค์อัลลอฮ์ เขาได้รับการอภัยโทษความผิดในอดีต”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
61.

หมายเลขฐานข้อมูล 210

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ ‏"

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดละหมาดในยมค่ำคืนของเดือนรอมฏอน ด้วยศรัทธาที่มั่นคงและแสวงหาความเมตตาและการตอบแทนจากพระองค์อัลลอฮ์ เขาได้รับการอภัยโทษความผิดในอดีต”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
62.

หมายเลขฐานข้อมูล 209

حَدَّثَنَا أَبُو زُرْعَةَ بْنُ عَمْرِو بْنِ جَرِيرٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَبَا هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ انْتَدَبَ اللَّهُ لِمَنْ خَرَجَ فِي سَبِيلِهِ لاَ يُخْرِجُهُ إِ لاَّ إِيمَانٌ بِي وَتَصْدِيقٌ بِرُسُلِي أَنْ أُرْجِعَهُ بِمَا نَالَ مِنْ أَجْرٍ أَوْ غَنِيمَةٍ، أَوْ أُدْخِلَهُالْجَنَّةَ، وَلَوْلاَ أَنْ أَشُقَّ عَلَى أُمَّتِي مَا قَعَدْتُ خَلْفَ سَرِيَّةٍ، وَلَوَدِدْتُ أَنِّي أُقْتَلُ فِي سَبِيلِ اللَّهِ ثُمَّ أُحْيَا، ثُمَّ أُقْتَلُ ثُمَّ أُحْيَا، ثُمَّ أُقْتَلُ ‏"‏‏

อบูซัรอะห์ อิบนุอัมร์ บินญะรีร รายงานว่า ฉันเคยได้ยินอบีฮุรอยเราะห์ รายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า “พระองค์อัลลอฮ์จะตอบรับคำเรียกร้องของผู้ที่ต่อสู้ในวิถีทางของอัลลอฮ์ว่า พวกเขาไม่ได้ออกไปต่อสู้เพื่อสิ่งใน นอกจากศศรัทธาต่อข้า และยอมรับต่อศาสนทูตของข้า ในการที่จะให้เขากลับมา (รอดตาย) พร้อมกับรางวัลหรือทรัพย์เชลย และ (หากเขาตายในสมภูมิ) ก็ให้เขาได้เข้าสวรรค์ และหากฉันไม่เกรงว่าประชาชาติของฉันจะพบกับความยุ่งยาก ฉันก็จะไม่นั่งอยู่เบื้องหลังกองทหาร (คือไม่ได้ออกไปนำทัพเอง) แต่ฉันปรารถนาที่จะเสียชีวิตในสมรภูมิเพื่อปกป้องศาสนาของอัลลอฮ์ แล้วฉันก็ปรารถนาจะได้มีชีวิตอีก แล้วก็เสียชีวิตในสมรภูมิ แล้วฟื้นขึ้นมาแล้วก็เสียชีวิตในสมรภูมิอีก

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
63.

หมายเลขฐานข้อมูล 208

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ مَنْ يَقُمْ لَيْلَةَ الْقَدْرِ إِيمَانًا وَاحْتِسَابًا غُفِرَ لَهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِهِ ‏"

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดที่ละหมาด (สิบคืนสุดท้ายของเดือนรอมฏอนเพื่อแสวงหา) ลัยละตุ้ลก็อดริ ด้วยศรัทธาที่มั่นคงและมุ่งหวังในความเมตตาและการตอบแทนจากพระองค์ เขาได้รับการอภัยโทษความผิดในอดีต”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
64.

หมายเลขฐานข้อมูล 207

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو، أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أَرْبَعٌ مَنْ كُنَّ فِيهِ كَانَ مُنَافِقًا خَالِصًا، وَمَنْ كَانَتْ فِيهِ خَصْلَةٌ مِنْهُنَّ كَانَتْ فِيهِ خَصْلَةٌ مِ نَ النِّفَاقِ حَتَّى يَدَعَهَا إِذَا اؤْتُمِنَ خَانَ وَإِذَا حَدَّثَ كَذَبَ وَإِذَا عَاهَدَ غَدَرَ، وَإِذَاخَاصَمَ فَجَرَ ‏"‏‏

รายงานจากอับดุลลอฮ์ อิบนิอัมร์ ว่า ท่านนบีศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สี่ประการที่ผู้ใดมีอยุ่ในตัวของเขา, เขาเป็นผู้สับปลับโดยแท้ แต่ผู้ใดมีเพียงบางประการอยู่ในตัวของเขา เท่ากับเขามีลักษณะหนึ่งของความสับปลับ จนกว่าเขาจะละเลิก คือ (1) ไม่ได้รับความไว้วางใจก็บิดพลิ้ว (2) เมื่อผู้ก็โกหก (3) เมื่อสัญญาก็ผิดสัญญา (4) เมื่อเขาทะเลาะกับผู้ใดก็จะหันเหออกจากความจริง

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
65.

หมายเลขฐานข้อมูล 206

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ آيَةُ الْمُنَافِقِ ثَلاَثٌ إِذَا حَدَّثَ كَذَبَ، وَإِذَا وَعَدَ أَخْلَفَ، وَإِذَا اؤْتُمِنَ خَانَ ‏"‏‏.‏

อบีฮุรอยเราะห์ รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เครื่องหมายของผู้สับปลับสามประการคือ (1) เมื่อพูดก็โกหก (2) เมื่อสัญญาก็ผิดสัญญา (3) เมื่อได้รับความไว้วางใจก็บิดพลิ้ว”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
66.

หมายเลขฐานข้อมูล 205

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ، قَالَ لَمَّا نَزَلَتِ ‏{‏الَّذِينَ آمَنُوا وَلَمْ يَلْبِسُوا إِيمَانَهُمْ بِظُلْمٍ‏}‏ قَالَ أَصْحَابُ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَيُّنَا لَمْ يَظْلِمْ فَأَنْزَلَ اللَّهُ ‏{‏إِنَّ ال شِّرْكَ لَظُلْمٌ عَظِيمٌ‏}‏‏.‏

อับดุลลอฮ์ รายงานว่า เมื่ออัลกุรอานอายะห์นี้ถูกประทานลงมา “บรรดาผู้ศรัทธานั้นเขาจะไม่ให้การศรัทธาของพวกเขาปะปนกับความอธรรม” (ซูเราะห์อัลอันอาม อายะห์ที่ 82) ศอฮาบะห์ของท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า คนใดในหมู่พวกเราที่ไม่เคยอธรรม ? ดังนั้นพระองค์อัลลอฮ์ จึงได้ประทานอายะห์ต่อไปนี้ว่า “แท้จริงการตั้งภาคีคือความอธรรมที่ยิ่งใหญ่” (ซูเราะห์ลุกมาน อายะห์ที่ 13)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
67.

หมายเลขฐานข้อมูล 204

عَنِ الأَحْنَفِ بْنِ قَيْسٍ، قَالَ ذَهَبْتُ لأَنْصُرَ هَذَا الرَّجُلَ، فَلَقِيَنِي أَبُو بَكْرَةَ فَقَالَ أَيْنَ تُرِيدُ قُلْتُ أَنْصُرُ هَذَا الرَّجُلَ‏.‏ قَالَ ارْجِعْ فَإِنِّي سَمِعْتُ رَسُولَ ال لَّهِ صلى الله عليه وسلم يَقُولُ ‏"‏ إِذَا الْتَقَى الْمُسْلِمَانِ بِسَيْفَيْهِمَا فَالْقَاتِلُ وَالْمَقْتُولُفِي النَّارِ ‏"‏‏.‏ فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ هَذَا الْقَاتِلُ فَمَا بَالُ الْمَقْتُولِ قَالَ ‏"‏ إِ نَّهُ كَانَ حَرِيصًا عَلَى قَتْلِ صَاحِبِهِ ‏"‏‏.‏

อัลอะห์นัฟ บินกอยซ์ รายงานว่า ฉันกำลังจะไปให้ความช่วยเหลือแก่ชายผู้นี้ (อาลี อิบนิอบีตอลิบ) ขณะนั้นอบูบะกะเราะห์ได้มาพบกับฉันเสียก่อน เขาถามว่า ท่านจะทำอะไร ? ฉันตอบว่า ฉันกำลังจะไปให้ความช่วยเหลือแก่ชายผู้นี้ (อาลี อิบนิอบีตอลิบ) เขากล่าวว่า จงกลับไปเถอะ เพราะฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อมุสลิมสองฝ่ายเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ ดังนั้นทั้งผู้สังหารและผู้ถูกสังหารต้องลงนรก” ฉันจึงถามท่านว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ต้องเป็นผู้ที่สังหารซิ ทำไมผู้ถูกสังหารต้องลงนรกด้วย ? ท่านตอบว่า “เพราะเขาคอยจ้องที่จะสังหารอีกฝ่ายหนึ่งเช่นเดียวกัน”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
68.

หมายเลขฐานข้อมูล 203

عَنِ الْمَعْرُورِ، قَالَ لَقِيتُ أَبَا ذَرٍّ بِالرَّبَذَةِ، وَعَلَيْهِ حُلَّةٌ، وَعَلَى غُلاَمِهِ حُلَّةٌ، فَسَأَلْتُهُ عَنْ ذَلِكَ، فَقَالَ إِنِّي سَابَبْتُ رَجُلاً، فَعَيَّرْتُهُ بِأُمِّهِ، فَقَالَ لِيَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ يَا أَبَا ذَرٍّ أَعَيَّرْتَهُ بِأُمِّهِ إِنَّكَ امْرُؤٌ فِيكَ جَاهِلِيَّةٌ،إِخْوَانُكُمْ خَوَلُكُمْ، جَعَلَهُمُ اللَّهُ تَحْتَ أَيْدِيكُمْ، فَمَنْ كَانَ أَخُوهُ تَحْتَ يَدِهِ فَلْيُطْعِمْهُ مِمَّا يَأْكُلُ، وَلْيُلْبِسْهُ مِمَّا يَلْبَسُ، وَلاَ تُكَلِّفُوهُمْ مَا يَغْلِبُهُمْ، فَإِنْ كَلَّفْتُمُوهُمْ فَأَعِينُوهُمْ ‏"

อัลมะอ์รูร รายงานว่า ฉันได้พบกับอบูซัรริน ที่รอบะซะห์ เขาสวมคลุม และคนรับใช้ของเขาก็สวมเสื้อคลุมเช่นเดียวกับเขาด้วย ฉันจึงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เขาตอบว่า แท้จริงฉันเคยด่าชายคนหนึ่งโดยลำเลิกไปถึงแม่ของเขา ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า โอ้อบูซัรรินเอ๋ย เจ้าด่าประจานแม่ของเขาหรือ ? แท้จริงในตัวเจ้ามีลักษณะบางประการของยุคคนเถื่อน (ญาฮิลียะห์) ทาสของเจ้าก็คือพี่น้องของเจ้า พระองค์อัลลอฮ์ทรงให้พวกเขาอยู่ใต้การปกครองของเจ้า ดังนั้นผู้ใดที่พี่น้องของเขาอยู่ภายใต้การปกครองของเขา ก็จงให้อาหารเขาชนิดเดียวกับที่เขากิน, และจงให้เครื่องนุ่งห่มแก่เขาเช่นเดียวกับที่เขาสวมใส่, และอย่าบังคับขู่เข็ญเขาในสิ่งที่เกินกลังความสามารถของพวกเขา แต่ถ้าพวกเจ้าใช้ให้พวกเขาทำ เจ้าก็ต้องช่วยพวกเขาด้วย

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
69.

หมายเลขฐานข้อมูล 202

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ أُرِيتُ النَّارَ فَإِذَا أَكْثَرُ أَهْلِهَا النِّسَاءُ يَكْفُرْنَ ‏"‏‏.‏ قِيلَ أَيَكْفُرْنَ بِاللَّهِ قَالَ ‏"‏ يَكْفُرْنَ الْعَشِيرَ، وَيَكْفُرْ نَ الإِحْسَانَ، لَوْ أَحْسَنْتَ إِلَى إِحْدَاهُنَّ الدَّهْرَ ثُمَّ رَأَتْ مِنْكَ شَيْئًا قَالَتْ مَا رَأَيْتُمِنْكَ خَيْرًا قَطُّ ‏"‏‏.‏

อิบนิอับบาส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า นรกถูกนำมาให้ฉันเห็น แล้วฉันก็พบว่า ส่วนใหญ่ของชาวนรกนั้นเป็นผู้หญิงที่ปฏิเสธ มีผู้ถามว่า พวกเธอปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์หรือ ? ท่านตอบว่า พวกเธอปฏิเสธ (ดื้อ) กับสามี และปฏิเสธคุณธรรม ถ้าเจ้าทำดีต่อพวกนางชั่วชีวิต แต่นางเห็นบางอย่างในตัวตัวเจ้าที่นางไม่พอใจ นางก็จะกล่าวว่า “ฉันไม่เคยเห็นความดีใดๆ ในตัวเจ้าแม้แต่น้อย”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
70.

หมายเลขฐานข้อมูล 201

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو، أَنَّ رَجُلاً، سَأَلَ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَىُّ الإِسْلاَمِ خَيْرٌ قَالَ ‏"‏ تُطْعِمُ الطَّعَامَ، وَتَقْرَأُ السَّلاَمَ عَلَى مَنْ عَرَفْتَ وَمَ نْ لَمْ تَعْرِفْ ‏"‏‏

อับดุลลออ์ อิบนิอัมร์ รายงานว่า มีชายผู้หนึ่งได้ถามท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมว่า (การปฏิบัติ) เช่นใดในอิสลามที่ดีที่สุด ? ท่านตอบว่า : “การให้อาหาร และการกล่าวสลามแก่ผู้ที่เจ้ารู้จักและผู้ที่ไม่รู้จัก”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
71.

หมายเลขฐานข้อมูล 200

عَنْ سَعْدٍ، رضى الله عنه أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَعْطَى رَهْطًا وَسَعْدٌ جَالِسٌ، فَتَرَكَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم رَجُلاً هُوَ أَعْ جَبُهُمْ إِلَىَّ فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ مَا لَكَ عَنْ فُلاَنٍ فَوَاللَّهِ إِنِّي لأَرَاهُ مُؤْمِنًا‏.‏ فَقَالَ ‏"‏أَوْ مُسْلِمًا ‏"‏‏.‏ فَسَكَتُّ قَلِيلاً، ثُمَّ غَلَبَنِي مَا أَعْلَمُ مِنْهُ فَعُدْتُ لِمَقَالَتِي فَقُلْتُ مَا لَكَ عَنْ فُلاَنٍ فَوَاللَّهِ إِنِّي لأَرَاهُ مُؤْمِنًا فَقَالَ ‏"‏ أَوْ مُسْلِمًا ‏"‏‏.‏ ثُمَّ غَلَبَنِي مَا أَعْلَمُ مِنْهُ فَعُدْتُ لِمَقَالَتِي وَعَادَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ثُمَّ قَالَ ‏"‏ يَا سَعْدُ،إِنِّي لأُعْطِي الرَّجُلَ وَغَيْرُهُ أَحَبُّ إِلَىَّ مِنْهُ، خَشْيَةَ أَنْ يَكُبَّهُ اللَّهُ فِي النَّارِ ‏"‏‏

รายงานจาก ซะอด์ (อิบนิอบีวักกอศ) ขอพระองค์อัลลอฮ์พอพระทัยต่อท่านด้วย แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กำลังแจกจ่ายซะกาตแก่คนกลุ่มหนึ่ง – ขณะที่ ซะอด์ก็อยู่ที่นั่นด้วย – แต่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็มิได้จ่ายให้ชายคนหนึ่งซึ่งฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่มีสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆ ฉันถามว่า โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ทำไมท่านไม่จ่ายให้แก่คนผู้นี้เล่า ? ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันเห็นว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาจริงๆ เขา (ผู้รายงาน) กล่าวว่า หรือเขากล่าวว่า เขาเป็นมุสลิมจริงๆ แล้วฉันก็เงียบไปสักครู่หนึ่ง ในขณะที่ฉันก็รู้เรื่องของชายผู้นั้นเป็นอย่างดี แล้วฉันก็ทวนคำถามแก่ท่านรอซูลอีกครั้งโดยกล่าวว่า ทำไมท่านไม่จ่ายให้แก่ชายผู้นี้เล่า ?ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันยืนยันว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาจริงๆ เขา (ผู้รายงาน) กล่าวว่า หรือเขากล่าวว่า เขาเป็นมุสลิมจริงๆ ทั้งๆที่ฉันรู้เรื่องของชายผู้นั้นเป็นอย่างดี แล้วฉันก็ทวนคำถามของฉันอีกครั้ง แต่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ตอบว่า โอ้ซะอด์เอ๋ย แท้จริงฉันได้ให้คนนี้หรือให้คนอื่นๆ ซึ่งเป็นที่รักของฉันมากกว่าเขา เนื่องจากกลัวว่า อัลลอฮ์จะทำให้เขาคว่ำหน้าในไฟนรก

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
72.

หมายเลขฐานข้อมูล 199

عَنِ ابْنِ عُمَرَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَشْهَدُوا أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ، وَيُقِيمُوا ا لصَّلاَةَ، وَيُؤْتُوا الزَّكَاةَ، فَإِذَا فَعَلُوا ذَلِكَ عَصَمُوا مِنِّي دِمَاءَهُمْ وَأَمْوَالَهُمْ إِلاَّبِحَقِّ الإِسْلاَمِ، وَحِسَابُهُمْ عَلَى اللَّهِ ‏"‏‏.

อิบนิอุมัร รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันถูกใช้ให้ต่อสู้กับบรรดาผู้คน (ที่ตั้งตนเป็นศัตรูทำลายมุสลิมและอิสลาม) จนกว่าพวกเขาจะกล่าว (คำปฏิญาณตน) ว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ ว่าอันน่ามูฮัมมะดัรร่อซูลุ้ลลอฮ์, พวกเขาได้ดำรงละหมาด, จ่ายซะกาต, เมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติแล้ว เลือดของเขา, ทรัพย์ของเขาก็เป็นที่ต้องห้ามแก่ฉัน นอกจากสิทธิตามข้อกำหนดของอิสลาม และบัญชี (การสอบสวนและการตอบแทนรางวัล) ของเขามี ณ.อัลลอฮ์”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
73.

หมายเลขฐานข้อมูล 198

عَنِ ابْنِ عُمَرَ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَشْهَدُوا أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ، وَيُقِيمُوا ا لصَّلاَةَ، وَيُؤْتُوا الزَّكَاةَ، فَإِذَا فَعَلُوا ذَلِكَ عَصَمُوا مِنِّي دِمَاءَهُمْ وَأَمْوَالَهُمْ إِلاَّبِحَقِّ الإِسْلاَمِ، وَحِسَابُهُمْ عَلَى اللَّهِ ‏"‏‏.‏

อิบนิอุมัร รายงานว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ฉันถูกใช้ให้ต่อสู้กับบรรดาผู้คน (ที่ตั้งตนเป็นศัตรูทำลายมุสลิมและอิสลาม) จนกว่าพวกเขาจะกล่าว (คำปฏิญาณตน) ว่า ลาอิลาฮ่าอิ้ลลัลลอฮ์ ว่าอันน่ามูฮัมมะดัรร่อซูลุ้ลลอฮ์, พวกเขาได้ดำรงละหมาด, จ่ายซะกาต, เมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติแล้ว เลือดของเขา, ทรัพย์ของเขาก็เป็นที่ต้องห้ามแก่ฉัน นอกจากสิทธิตามข้อกำหนดของอิสลาม และบัญชี (การสอบสวนและการตอบแทนรางวัล) ของเขามี ณ.อัลลอฮ์”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
74.

หมายเลขฐานข้อมูล 197

عَنْ سَالِمِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ، عَنْ أَبِيهِ، أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مَرَّ عَلَى رَجُلٍ مِنَ الأَنْصَارِ وَهُوَ يَعِظُ أَخَاهُ فِي الْحَيَاءِ، فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ ص لى الله عليه وسلم ‏"‏ دَعْهُ فَإِنَّ الْحَيَاءَ مِنَ الإِيمَانِ ‏"

รายงานจากซาลิม บินอับดิลลาฮ์ จากพ่อของเขา (อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร) ว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้เดินผ่านชายชาวอันศอรผู้หนึง ซึ่งเขากำลังตักเตือน้องชายของเขาในเรื่องความละอาย ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ปล่อยเขาเถอะ, เพราะแท้จริงความละอาย (ต่อการทำบาปนั้น) เป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
75.

หมายเลขฐานข้อมูล 196

عَنْ أَبِي أُمَامَةَ بْنِ سَهْلٍ، أَنَّهُ سَمِعَ أَبَا سَعِيدٍ الْخُدْرِيَّ، يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ بَيْنَا أَنَا نَائِمٌ رَأَيْتُ النَّاسَ يُعْرَضُونَ عَلَىَّ، وَعَلَ يْهِمْ قُمُصٌ مِنْهَا مَا يَبْلُغُ الثُّدِيَّ، وَمِنْهَا مَا دُونَ ذَلِكَ، وَعُرِضَ عَلَىَّ عُمَرُ بْنُالْخَطَّابِ وَعَلَيْهِ قَمِيصٌ يَجُرُّهُ ‏"‏‏.‏ قَالُوا فَمَا أَوَّلْتَ ذَلِكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ ‏"‏ الدِّينَ ‏"‏

อบีอุมามะห์ บินซะฮล์ รายงานว่า เขาได้ยิน อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ ขณะที่ฉันนอนหลับ ฉันได้ฝันเห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏต่อหน้าฉัน พวกเขาสวมเสื้อผ้ายาวมาถึงแค่ราวนม บางส่วนก็สั้นกว่านั้นอีก แล้วอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ ก็ปรากฏให้ฉันเห็น (ในฝัน) เขาใส่เสื้อที่ยาวลากพื้น” บรรดาศอฮาบะห์ถามว่า แล้วท่านจะทำนายฝันนี้อย่างไรหรือโอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ท่านตอบว่า “หมายถึงศาสนา” (คือการที่บรรดาผู้คนที่มีศรัทธามากหรือน้อยแตกต่างกันไป)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
76.

หมายเลขฐานข้อมูล 195

عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ، رضى الله عنه ـ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ يَدْخُلُ أَهْلُ الْجَنَّةِ الْجَنَّةَ، وَأَهْلُ النَّارِ النَّارَ، ثُمَّ يَقُولُ اللَّهُ تَعَالَى أَخْ رِجُوا مَنْ كَانَ فِي قَلْبِهِ مِثْقَالُ حَبَّةٍ مِنْ خَرْدَلٍ مِنْ إِيمَانٍ‏.‏ فَيُخْرَجُونَ مِنْهَا قَدِاسْوَدُّوا فَيُلْقَوْنَ فِي نَهَرِ الْحَيَا ـ أَوِ الْحَيَاةِ، شَكَّ مَالِكٌ ـ فَيَنْبُتُونَ كَمَا تَنْ بُتُ الْحِبَّةُ فِي جَانِبِ السَّيْلِ، أَلَمْ تَرَ أَنَّهَا تَخْرُجُ صَفْرَاءَ مُلْتَوِيَةً ‏"‏‏.‏ قَالَ وُهَيْبٌ حَدَّثَنَا عَمْرٌو ‏"‏ الْحَيَاةِ ‏"‏‏.‏ وَقَالَ ‏"‏ خَرْدَلٍ مِنْ خَيْرٍ ‏"‏‏.‏

รายงานจาก อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านด้วย) จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “เมื่อชาวสวรรค์ได้เข้าสวรรค์ และชาวนรกได้เข้านรก พระองค์อัลลอฮ์สั่งว่า เอาผู้ที่ในหัวใจของเขามีการศรัทธา (แม้จะเล็กน้อย) เท่าเม็ดผักกาดออกมา (จากนรก) พวกเขาถูกนำตัวออกมาในสภาพที่ดำเป็นตอกะโก แล้วพวกเขาก็ถูกโยนลงไปในแม่น้ำ อัลฮ่ายา หรือ อัลฮะยาต์ (มีความหมายว่าชีวิต) ซึ่งมาลิกหนึ่งในผู้รายงานไม่แน่ใจ (ว่าใช้คำใดกันแน่แต่ทั้งสองคำนี้มีความหมายเหมือนกัน) พวกเขาจะงอกเงยขึ้นมาเหมือนดั่งเมล็ดผักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่า มันงอกเงยออกมาเหลืองอร่ามประหนึ่งว่าถูกเคลือบไว้” วุฮัยบ์ กล่าวว่า อัมร์ ได้เล่าให้เราฟังโดยใช้คำรายงานว่า ‏"‏ الْحَيَاةِ ‏"‏‏ (แม่น้ำแห่งชีวิต ที่ชุบชีวิตผู้ที่ได้ออกจากนรก) และอีกคำหนึ่งคือ ‏"‏ خَرْدَلٍ مِنْ خَيْرٍ ‏"‏ (เศษเสี้ยวแห่งความดี)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
77.

หมายเลขฐานข้อมูล 194

عَنْ أَنَسٍ ـ رضى الله عنه ـ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ ثَلاَثٌ مَنْ كُنَّ فِيهِ وَجَدَ حَلاَوَةَ الإِيمَانِ مَنْ كَانَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِمَّا سِوَا هُمَا، وَمَنْ أَحَبَّ عَبْدًا لاَ يُحِبُّهُ إِلاَّ لِلَّهِ، وَمَنْ يَكْرَهُ أَنْ يَعُودَ فِي الْكُفْرِ بَعْدَ إِذْأَنْقَذَهُ اللَّهُ، كَمَا يَكْرَهُ أَنْ يُلْقَى فِي النَّارِ ‏"‏‏.‏

รายงานจากอนัส (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านด้วย) จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “สามประการที่ผู้ใดมีอยู่ในตัวของเขา, เขาได้พบกับความหวานชื่นของการศรัทธา คือ (1) ผู้ที่อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เป็นที่รักยิ่งของเขามากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด (2) ผู้ที่รักผู้อื่นไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใดนอกจากเพื่ออัลลอฮ์ (3) และผู้ที่รังเกียจในการกลับไปสู่สภาพปฏิเสธการศรัทธาดังจากที่อัลลอฮ์ได้ฉุดเขาให้รอดพ้นแล้ว ดั่งเช่นที่เขาเกีลยดในการถูกโยนลงนรก”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
78.

หมายเลขฐานข้อมูล 193

عَنْ عَائِشَةَ، قَالَتْ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم إِذَا أَمَرَهُمْ أَمَرَهُمْ مِنَ الأَعْمَالِ بِمَا يُطِيقُونَ قَالُوا إِنَّا لَسْنَا كَهَيْئَتِكَ يَا رَسُولَ اللَّهِ، إِنَّ اللَّهَ قَدْ غَفَرَ لَكَ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِكَ وَمَا تَأَخَّرَ‏.‏ فَيَغْضَبُ حَتَّى يُعْرَفَ الْغَضَبُ فِيوَجْهِهِ ثُمَّ يَقُولُ ‏"‏ إِنَّ أَتْقَاكُمْ وَأَعْلَمَكُمْ بِاللَّهِ أَنَا ‏"‏‏.

ท่านหญิงอาอิชะห์ รายงานว่า ท่านรอซูลุลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นั้นเมื่อใช้ให้พวกเขา (เหล่าศอฮาบะห์ กรทำสิ่งใด) ท่านก็จะใช้พวกเขาให้ทำในสิ่งที่พวกเขามีความสามารถ พวกเขากล่าวว่า พวกเราไม่มีสภาพเหมือนดั่งท่านหรอก โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่ท่านจากความผิดที่ผ่านมาและในอนาคต (คำพูดนี้) ทำให้ท่านโกรธจนกระทั่งร่องรอยของความโกรธปรากฏบนใบหน้าของท่าน แล้วท่านก็กล่าวว่า“แท้จริงผู้ที่ยำเกรงและรู้ดีในเรื่องของอัลลอฮ์มากยิ่งกว่าคนใดในหมู่พวกเจ้า คือข้าต่างหาก”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
79.

หมายเลขฐานข้อมูล 192

عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الْخُدْرِيِّ، أَنَّهُ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ يُوشِكُ أَنْ يَكُونَ خَيْرَ مَالِ الْمُسْلِمِ غَنَمٌ يَتْبَعُ بِهَا شَعَفَ الْجِبَالِ وَمَوَاقِعَ الْقَ طْرِ، يَفِرُّ بِدِينِهِ مِنَ الْفِتَنِ ‏"‏‏.

อบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่วว่า “ ใกล้เวลาเต็มทีแล้ว ที่ทรัพย์ของมุสลิมที่ดียิ่ง คือแกะที่จะถูกต้อนไปอยู่บนยอดเขา และสถานที่ฝนตกหนัก เขาหนีจากความเลวร้ายไปพร้อมกับศาสนาของเขา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
80.

หมายเลขฐานข้อมูล 191

أَنَّ عُبَادَةَ بْنَ الصَّامِتِ ـ رضى الله عنه ـ وَكَانَ شَهِدَ بَدْرًا، وَهُوَ أَحَدُ النُّقَبَاءِ لَيْلَةَ الْعَقَبَةِ ـ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ وَحَوْلَهُ عِصَابَةٌ مِنْ أَصْحَابِهِ ‏"‏ بَايِعُونِي عَلَى أَنْ لاَ تُشْرِكُوا بِاللَّهِ شَيْئًا، وَلاَ تَسْرِقُوا، وَلاَتَزْنُوا، وَلاَ تَقْتُلُوا أَوْلاَدَكُمْ، وَلاَ تَأْتُوا بِبُهْتَانٍ تَفْتَرُونَهُ بَيْنَ أَيْدِيكُمْ وَأَرْجُلِ كُمْ، وَلاَ تَعْصُوا فِي مَعْرُوفٍ، فَمَنْ وَفَى مِنْكُمْ فَأَجْرُهُ عَلَى اللَّهِ، وَمَنْ أَصَابَ مِنْ ذَلِكَ شَيْئًا فَعُوقِبَ فِي الدُّنْيَا فَهُوَ كَفَّارَةٌ لَهُ، وَمَنْ أَصَابَ مِنْ ذَلِكَ شَيْئًاثُمَّ سَتَرَهُ اللَّهُ، فَهُوَ إِلَى اللَّهِ إِنْ شَاءَ عَفَا عَنْهُ، وَإِنْ شَاءَ عَاقَبَهُ ‏"‏‏.‏ فَبَايَعْنَاهُ عَلَى ذَلِكَ‏.

ท่านอุบาดะห์ บิน อัสศอมิต (ขอพระองค์อัลลออ์ทรงพอพระทัยต่อท่านด้วยเถิด) ได้เคยร่วมในสงครามบะดัร และเป็นแกนนำในคืน (ให้สัตยาบัน) ที่อะกอบะห์ (รายงานว่า) แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว (ข้อความต่อไปนี้) ขณะที่มีศอฮาบะห์กลุ่มหนึ่งอยู่รอบตัวท่าน “เจ้าทั้งหลายจงให้สัตยาบันต่อฉันเถิด (1)ในการที่ท่านจะไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีต่อพระองค์อัลลออ์ (2) จะไม่ลักขโมย (3) ไม่ละเมิดประเวณี (4) จะไม่ฆ่าลูกๆ ของพวกเจ้า (5) ไม่กุข่าวเท็จที่พวกเจ้าอุปโลกน์มันขึ้นมาใส่ความผู้อื่น (6) ไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง และผู้ใดรักษาคำสัตยาบันได้อย่างครถ้วน รางวัลของเขาย่อมมี ณ.ที่อัลลออ์อย่างแน่นอน ส่วนผู้ใดละเมิดสัตยาบันข้อใด เขาจะถูกลงโทษโลกนี้ มันคือการไถ่โทษในความผิดของเขา แต่หากผู้ใดละเมิดสัตยาบันข้อใดแล้วอัลลอฮ์ได้ปกปิดให้แก่เขา ก็เป็นสิทธิแด่อัลลอฮ์ หากพระองค์ทรงประสงค์ ก็จะทรงให้อภัยแก่เขา และหากพระองค์ทรงประสงค์ก็จะทรงลงโทษเขา” (อุบาดะห์กล่าวว่า) พวกเราจึงได้ให้สัตยาบันต่อท่านในเรื่องดังกล่าว

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
81.

หมายเลขฐานข้อมูล 190

عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ جَبْرٍ، قَالَ سَمِعْتُ أَنَسًا، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ آيَةُ الإِيمَانِ حُبُّ الأَنْصَارِ، وَآيَةُ النِّفَاقِ بُغْضُ الأَنْصَارِ ‏"‏‏.

อับดุลลอฮ์ บุตรของ อับดุลลอฮ์ รายงานว่า ฉันเคยได้ยินท่านอะนัสกล่าวว่า จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “สัญลักษณ์ของการศรัทธาคือการรักชาวอันศอร และสัญลักษณ์ของการกลับกลอกคือการเกลียดชาวอันศอร”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
82.

หมายเลขฐานข้อมูล 189

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ ثَلاَثٌ مَنْ كُنَّ فِيهِ وَجَدَ حَلاَوَةَ الإِيمَانِ أَنْ يَكُونَ اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِمَّا سِوَاهُمَا، وَأَنْ يُحِبَّ الْمَرْءَ لاَ يُحِبُّهُ إِلاَّ لِلَّهِ، وَأَنْ يَكْرَهَ أَنْ يَعُودَ فِي الْكُفْرِ كَمَا يَكْرَهُ أَنْ يُقْذَفَ فِيالنَّارِ ‏"‏‏

รายงานจากอะนัส จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “สามประการต่อไปนี้ ผู้ใดมีอยู่ในตัวเขาจะได้พบกับความหวานชื่นของการศรัทธา (1) การที่อัลลอฮ์และรอซูลจะเป็นที่รักยิ่งของเขามากว่าสิ่งใด (2) การที่เขารักผู้อื่นในวิถีทางของอัลลอฮ์ (3 ) การที่เขารังเกียจที่จะกลับไปสู่การปฏิเสธศรัทธา ดั่งเช่นที่เขารังเกียจที่จะถูกโยนลงนรก”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
83.

หมายเลขฐานข้อมูล 188

عَنْ أَنَسٍ، قَالَ قَالَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ لاَ يُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُونَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَوَلَدِهِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِينَ ‏"

อะนัส รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามในหมู่พวกเจ้าจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าฉันจะเป็นที่รักยิ่งของเขามากกว่าพ่อแม่ของเขา,ลูกๆของเขา และคนอื่นๆทั้งหมด”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
84.

หมายเลขฐานข้อมูล 187

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ـ رضى الله عنه ـ أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ فَوَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ لاَ يُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى أَكُونَ أَحَبَّ إِلَيْهِ مِنْ وَالِدِهِ وَ وَلَدِهِ ‏"‏‏.

อบูฮุรอยเราะห์ (ขอพระองค์อัลลออ์พอพระทัยต่อท่านด้วยเถิด) รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ขอสาบานต่อ (พระองค์อัลลอฮ์) ผู้ซึ่งที่ตัวของฉันอยู่ในอุ้งพระหัตของพระองค์ว่า คนใดก็ตามในหมู่พวกเจ้าจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าฉันจะเป็นที่รักยิ่งของเขามากกว่าพ่อแม่ของเขาและลูกๆของเขา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
85.

หมายเลขฐานข้อมูล 186

عَنْ أَنَسٍ، عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ لا يُؤْمِنُ أَحَدُكُمْ حَتَّى يُحِبَّ لأَخِيهِ مَا يُحِبُّ لِنَفْسِهِ ‏"‏‏.

รายงานจากท่านอะนัส จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า “ ผู้ใดก็ตามในหมู่พวกเจ้าจะยังไม่ศรัทธา (อย่างสมบูรณ์) จนกว่าเขาปรารถนาที่จะให้พี่น้อง (มุสลิม) ของเขา (ได้รับสิ่งที่ดี)เช่นเดียวกับที่เขาปรารถนาที่จะให้ได้แก่ตัวเขาเอง”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
86.

หมายเลขฐานข้อมูล 185

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو ـ رضى الله عنهما ـ أَنَّ رَجُلاً، سَأَلَ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم أَىُّ الإِسْلاَمِ خَيْرٌ قَالَ ‏"‏ تُطْعِمُ الطَّعَامَ، وَتَقْرَأُ السَّلاَمَ عَلَىمَنْ عَرَفْتَ وَمَنْ لَمْ تَعْرِفْ ‏"‏‏

อับดุลลอฮฺ บินอัมร์ (ขอพระองค์อัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านทั้งสองด้วยเถิด) รายงานว่า “มีชายผู้หนึ่งได้ถามท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า อิสลามเช่นใดที่ดีเลิศ ท่านตอบว่า คือการให้อาหาร, และการให้สลาม (กับมุสลิม) ทั้งที่ท่านรู้จักและไม่รู้จัก

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
87.

หมายเลขฐานข้อมูล 184

عَنْ أَبِي مُوسَى ـ رضى الله عنه ـ قَالَ قَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ أَىُّ الإِسْلاَمِ أَفْضَلُ قَالَ ‏"‏ مَنْ سَلِمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ ‏"‏‏.

อบีมูซา (ขอพระองค์อัลลอฮ์พอพระทัยต่อท่านด้วยเถิด) รายงานว่า คนกลุ่มหนึ่งได้ถามว่า โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ อิสลามเช่นใด (ในหมู่พวกเรา) ดีที่สุด ท่านตอบว่า คือผู้ที่มุสลิมคนอื่นๆปลอดภัย (ไม่ทำร้ายผู้อื่น ) จากลิ้นและมือของเขา

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
88.

หมายเลขฐานข้อมูล 183

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو ـ رضى الله عنهما ـ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ الْمُسْلِمُ مَنْ سَلِمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ، وَالْمُهَاجِرُ مَنْ هَجَرَ مَا نَهَى اللَّهُ عَنْهُ ‏"‏‏.‏ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ وَقَالَ أَبُو مُعَاوِيَةَ حَدَّثَنَا دَاوُدُ عَنْ عَامِرٍ قَالَسَمِعْتُ عَبْدَ اللَّهِ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم‏.‏ وَقَالَ عَبْدُ الأَعْلَى عَنْ دَاوُدَ عَنْ عَامِرٍ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم‏.

อับดุลลอฮ์ บินอัมร์ (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านทั้งสองด้วยเถิด) รายงานว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “มุสลิมคือผู้ที่บรรดามุสลิมคนอื่นๆ ปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา, และบรรดาผู้อพยพนั้นก็คือ ผู้ที่ละเลิกสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ห้าม” อบูอับดิลลาห์ และอบูมุอาวิยะห์ ได้กล่าวว่า ดาวูดได้เล่าให้เราฟัง โดยนำมาจากท่านอามิรว่า ฉันเคยได้ยินท่านอับดุลลอฮ์ รายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และอับดุลอะอ์ลาก็ได้กล่าวเช่นเดียวว่า รายงานจากท่านดาวูด,จากอามิร, จากอับดุลลอฮ์ จากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
89.

หมายเลขฐานข้อมูล 182

عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ ـ رضى الله عنه ـ عَنِ النَّبِيِّ صلى الله عليه وسلم قَالَ ‏"‏ الإِيمَانُ بِضْعٌ وَسِتُّونَ شُعْبَةً، وَالْحَيَاءُ شُعْبَةٌ مِنَ الإِيمَانِ ‏"‏‏.

อบีฮุรอยเราะห์ (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยท่านด้วยเถิด) รายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมว่า “การศรัทธานั้นมีมากกว่าหกสิบแขนง และความละอาย (ต่อบาป) คือแขนงหนึ่งของการศรัทธา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
90.

หมายเลขฐานข้อมูล 181

وَقَوْلِ اللَّهِ تَعَالَى ‏{‏لَيْسَ الْبِرَّ أَنْ تُوَلُّوا وُجُوهَكُمْ قِبَلَ الْمَشْرِقِ وَالْمَغْرِبِ وَلَكِنَّ الْبِرَّ مَنْ آمَنَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ وَالْمَلاَئِكَةِ وَالْكِتَابِ وَالنَّبِيِّينَ وَآتَى ا لْمَالَ عَلَى حُبِّهِ ذَوِي الْقُرْبَى وَالْيَتَامَى وَالْمَسَاكِينَ وَابْنَ السَّبِيلِ وَالسَّائِلِينَوَفِي الرِّقَابِ وَأَقَامَ الصَّلاَةَ وَآتَى الزَّكَاةَ وَالْمُوفُونَ بِعَهْدِهِمْ إِذَا عَاهَدُو ا وَالصَّابِرِينَ فِي الْبَأْسَاءِ وَالضَّرَّاءِ وَحِينَ الْبَأْسِ أُولَئِكَ الَّذِينَ صَدَقُوا وَأُولَئِكَ هُمُ الْمُتَّقُونَ‏}‏‏.‏ وَقَوْلِهِ ‏{‏قَدْ أَفْلَحَ الْمُؤْمِنُونَ‏}‏ الآيَةَ‏.

ด้วยคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งที่ว่า “หาใช่เป็นความดีแต่อย่างใดในการที่พวกเจ้าหันหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก แต่ทว่าความดีนั้นคือผู้ที่ศรัทธาต่อัลลอฮ์,และวันปรโลก, ศัทธาต่อมะลาอิกะห์, ต่อคัมภีร์,และบรรดานบี อีกทั้งบริจาคทรัพย์ในขณะที่เขามีความรักในทรัพย์นั้น ให้แก่บรรดาญาติสนิท,บรรดาเด็กกำพร้า,บรรดาผู้ขัดสน,ผู้พลัดถิ่น, และแก่บรรดาผู้ร้องขอ และเพื่อการไถ่ทาส โดยที่เขาดำรงละหมาด,บริจาคซะกาต และบรรดาผู้รักษาสัญญาของเขาอย่างครบถ้วนเมื่อพวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญา และบรรดาผู้อดทนในยามวิกฤติ,ในภาวะขับขัน และขณะเผชิญหน้ากับศัตรูในศึกสงคราม, พวกเขานี่แหละคือผู้สัตย์จริง และพวกเขาเหล่านี้คือผู้ยำเกรง (ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 177) แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาได้ประสพชัยชนแล้ว (ซูเราะห์อัลมุอ์มีนูน อายะห์ที่ 1)

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
91.

หมายเลขฐานข้อมูล 180

عَنِ ابْنِ عُمَرَ ـ رضى الله عنهما ـ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ بُنِيَ الإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ شَهَادَةِ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ، وَإِقَامِ الصَّلاَةِ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ، وَالْحَجِّ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ ‏" ‏‏

อับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร (ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อท่านทั้งสองด้วยเถิด) รายงานว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮฺ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า อิสลามวางอยู่บนฐานรากห้าประการคือ (1) การปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่ควรแก่การสักการะ) นอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ และ (2) การดำรงละหมาด (3) การจ่ายซะกาต (4) การทำฮัจญ์ และ (5) การถือศีลอดเดือนรอมฏอน

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
92.

หมายเลขฐานข้อมูล 179

وَهُوَ قَوْلٌ وَفِعْلٌ، وَيَزِيدُ وَيَنْقُصُ‏.‏ قَالَ اللَّهُ تَعَالَى ‏{‏لِيَزْدَادُوا إِيمَانًا مَعَ إِيمَانِهِمْ‏}‏‏.‏ ‏{‏وَزِدْنَاهُمْ هُدًى‏}‏ ‏{‏وَيَزِيدُ اللَّهُ الَّذِينَ اهْتَدَوْا هُدًى‏}‏ ‏{‏وَالَّذِينَ اهْتَدَوْا زَادَهُمْ هُدًى وَآتَاهُمْ تَقْوَاهُمْ‏}‏ ‏{‏وَيَزْدَادَ الَّذِينَ آمَنُوا إِيمَانًا‏}‏ وَقَوْلُهُ ‏{‏أَيُّكُمْ زَادَتْهُ هَذِهِ إِيمَانًا فَأَمَّا الَّذِينَ آمَنُوا فَزَادَتْهُمْ إِيمَانًا‏}‏‏.‏ وَقَوْلُهُ جَلَّ ذِكْرُهُ ‏{‏فَاخْشَوْهُمْ فَزَادَهُمْ إِيمَانًا‏}‏‏.‏ وَقَوْلُهُ تَعَالَى ‏{‏وَمَا زَادَهُمْ إِلاَّ إِيمَانًا وَتَسْلِيمًا‏}‏‏.‏ وَالْحُبُّ فِي اللَّهِ وَالْبُغْضُ فِي اللَّهِ مِنَ الإِيمَانِ‏.‏ وَكَتَبَ عُمَرُ بْنُ عَبْدِ الْعَزِيزِ إِلَى عَدِيِّ بْنِ عَدِيٍّ إِنَّ لِلإِيمَانِ فَرَائِضَ وَشَرَائِعَ وَحُدُودًا وَسُنَنًا، فَمَنِ اسْتَكْمَلَهَا اسْتَكْمَلَ الإِيمَانَ، وَمَنْ لَمْ يَسْتَكْمِلْهَا لَمْ يَسْتَكْمِلِ الإِيمَانَ، فَإِنْ أَعِشْ فَسَأُبَيِّنُهَا لَكُمْ حَتَّى تَعْمَلُوا بِهَا، وَإِنْ أَمُتْ فَمَا أَنَا عَلَى صُحْبَتِكُمْ بِحَرِيصٍ‏.‏ وَقَالَ إِبْرَاهِيمُ ‏{‏وَلَكِنْ لِيَطْمَئِنَّ قَلْبِي‏}‏‏.‏ وَقَالَ مُعَاذٌ اجْلِسْ بِنَا نُؤْمِنْ سَاعَةً‏.‏ وَقَالَ ابْنُ مَسْعُودٍ الْيَقِينُ الإِيمَانُ كُلُّهُ‏.‏ وَقَالَ ابْنُ عُمَرَ لاَ يَبْلُغُ الْعَبْدُ حَقِيقَةَ التَّقْوَى حَتَّى يَدَعَ مَا حَاكَ فِي الصَّدْرِ‏.‏ وَقَالَ مُجَاهِدٌ ‏{‏شَرَعَ لَكُمْ‏}‏ أَوْصَيْنَاكَ يَا مُحَمَّدُ وَإِيَّاهُ دِينًا وَاحِدًا‏.‏ وَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ ‏{‏شِرْعَةً وَمِنْهَاجًا‏}‏ سَبِيلاً وَسُنَّةً‏.‏

คือคำพูดและการกระทำ ซึ่งมีทั้งเพิ่มและลด พระองค์อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้กล่าวว่า “เพื่อว่าพวกเขาจะได้เพิ่มการศรัทธาให้กับการศรัทธาของพวกเขา” (ซูเราะห์ อัลฟัตฮ์ อายะห์ที่ 4) “และเราได้เพิ่มให้แก่พวกเขาซึ่งทางนำ” (ซูเราะห์อัลกะฮ์ฟิ อายะห์ที่ 13) “และพระองค์อัลลอฮ์จะทรงเพิ่มทางนำให้แก่ผู้ที่อยู่ในทางนำ” (ซูเราะห์ มัรยำ อยาะห์ที่ 76) “และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามทางนำ พระองค์จะทรงเพิ่มทางนำให้แก่พวกเขา และให้พวกเขาซึ่งความยำเกรงของพวกเขา” (ซูเราะห์มูฮัมหมัด อายะห์ที่ 17) “และบรรดาผู้ศรัทธาจะได้เพิ่มการศรัทธามากยิ่งขึ้น” (ซูเราะห์ อัลมุดดัซซิร อายะห์ที่ 31) และคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร ที่ว่า “ผูใดเล่าในหมู่พวกเจ้าที่บทนี้เพิ่มการศรัทธาให้แก่เขา สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาแล้วมันเพิ่มการศรัทธาแก่พวกเขายิ่งขึ้น” (ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ อายะห์ที่124) และคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า “ดังนั้นพวกเจ้าจงกลัวพวกเขาเถิด มันจึงได้เพิ่มการศรัทธาแก่พวกเขา” (ซูเราะห์ อาละอิมรอน อายะห์ที่ 173) “และมันมิได้เพิ่มสิ่งใดให้แก่พวกเขา นอกจากการศรัทธาและการนอบน้อม” (ซูเราะห์อัลอะห์ซาบ อายะห์ที่ 22) และความรักในวิถีทางแห่งอัลลอฮ์ และการโกรธในวิถีทางแห่งอัลลอฮ์ เป็นส่วนหนึ่งของการศรัทธา และท่านอุมัร อิบนุ อับดิลอะซีซ ได้ส่งสาสน์ถึง อะดีย์ บุตรของ อะดีย์ว่า “สำหรับการศรัทธานั้นมีข้อบังคับ, มีบทบัญญัติ, มีขอบเขต และแนวทาง ดังนั้นผู้ใดทำให้ครบถ้วน การศรัทธาของเขาก็สมบูรณ์ แต่หากผู้ใดไม่ทำให้มันครบถ้วน การศรัทธาของเขาก็ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นหากฉันยังชีวิตอยู่ ฉันก็จะอธิบายมันให้พวกท่านทราบ เพื่อว่าพวกท่านจะได้ปฏิบัติมัน แต่หากฉันได้เสียชีวิตไปก่อน ฉันก็ไม่ได้อยู่ร่วมกับพวกท่านในการสนับสนุน ท่านนบีอิบรอฮีม อลัยฮิสสลาม ได้กล่าวว่า “ทว่าเพื่อให้หัวใจของฉันสงบ” (ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ที่ 260) ท่านมุอาซ ได้กล่าวว่า นั่งรวมสนทนากับเราเถิด จะได้เพิ่มพูนการศรัทธากันสักครู่หนึ่ง ท่านอิบนิมัสอู๊ด กล่าวว่า บ่าวจะยังไม่บรรลุถึงข้อเท็จจริงของการศรัทธา จนกว่าเขาละทิ้งสิ่งที่เคลือบแคลงในหัวอก และท่านมุญาฮิดได้อธิบาย (ซูเราะห์ อัชซูรอ อายะห์ที่ 13 )ว่า พระองค์ได้ทรงบัญญัติศาสนาแก่พวกเจ้า เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงสั่งเสียแก่นบีนูฮ์ และที่เราได้วะฮีย์ให้แก่เจ้า โอ้มูฮัมหมัด เช่นเดียวกับที่เราไดด้สั่งเสียแก่เขาซึ่งศาสนาเดียวกัน ท่านอิบนุอับบาสได้อธิบาย (ซูเราะห์อัลมาอิดะห์ อายะห์ที่ 48) ว่า ซิรอะตัน วะมินฮาญัณ คือ แนวทางและแบบอย่าง

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
93.

หมายเลขฐานข้อมูล 178

أَنَّ عَبْدَ اللَّهِ بْنَ عَبَّاسٍ، أَخْبَرَهُ أَنَّ أَبَا سُفْيَانَ بْنَ حَرْبٍ أَخْبَرَهُ أَنَّ هِرَقْلَ أَرْسَلَ إِلَيْهِ فِي رَكْبٍ مِنْ قُرَيْشٍ ـ وَكَانُوا تُجَّارًا بِالشَّأْمِ ـ فِي الْمُدَّةِ الَّتِي كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مَادَّ فِيهَا أَبَا سُفْيَانَ وَكُفَّارَ قُرَيْشٍ، فَأَتَوْهُ وَهُمْ بِإِيلِيَاءَ فَدَعَاهُمْ فِي مَجْلِسِهِ، وَحَوْلَهُ عُظَمَاءُ الرُّومِ ثُمَّ دَعَاهُمْ وَدَعَا بِتَرْجُمَانِهِ فَقَالَ أَيُّكُمْ أَقْرَبُ نَسَبًا بِهَذَا الرَّجُلِ الَّذِي يَزْعُمُ أَنَّهُ نَبِيٌّ فَقَالَ أَبُو سُفْيَانَ فَقُلْتُ أَنَا أَقْرَبُهُمْ نَسَبًا‏.‏ فَقَالَ أَدْنُوهُ مِنِّي، وَقَرِّبُوا أَصْحَابَهُ، فَاجْعَلُوهُمْ عِنْدَ ظَهْرِهِ‏.‏ ثُمَّ قَالَ لِتَرْجُمَانِهِ قُلْ لَهُمْ إِنِّي سَائِلٌ هَذَا عَنْ هَذَا الرَّجُلِ، فَإِنْ كَذَبَنِي فَكَذِّبُوهُ‏.‏ فَوَاللَّهِ لَوْلاَ الْحَيَاءُ مِنْ أَنْ يَأْثِرُوا عَلَىَّ كَذِبًا لَكَذَبْتُ عَنْهُ، ثُمَّ كَانَ أَوَّلَ مَا سَأَلَنِي عَنْهُ أَنْ قَالَ كَيْفَ نَسَبُهُ فِيكُمْ قُلْتُ هُوَ فِينَا ذُو نَسَبٍ‏.‏ قَالَ فَهَلْ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ مِنْكُمْ أَحَدٌ قَطُّ قَبْلَهُ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَأَشْرَافُ النَّاسِ يَتَّبِعُونَهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَقُلْتُ بَلْ ضُعَفَاؤُهُمْ‏.‏ قَالَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ قُلْتُ بَلْ يَزِيدُونَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ يَرْتَدُّ أَحَدٌ مِنْهُمْ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ قُلْتُ لاَ‏.‏ قَالَ فَهَلْ يَغْدِرُ قُلْتُ لاَ، وَنَحْنُ مِنْهُ فِي مُدَّةٍ لاَ نَدْرِي مَا هُوَ فَاعِلٌ فِيهَا‏.‏ قَالَ وَلَمْ تُمْكِنِّي كَلِمَةٌ أُدْخِلُ فِيهَا شَيْئًا غَيْرُ هَذِهِ الْكَلِمَةِ‏.‏ قَالَ فَهَلْ قَاتَلْتُمُوهُ قُلْتُ نَعَمْ‏.‏ قَالَ فَكَيْفَ كَانَ قِتَالُكُمْ إِيَّاهُ قُلْتُ الْحَرْبُ بَيْنَنَا وَبَيْنَهُ سِجَالٌ، يَنَالُ مِنَّا وَنَنَالُ مِنْهُ‏.‏ قَالَ مَاذَا يَأْمُرُكُمْ قُلْتُ يَقُولُ اعْبُدُوا اللَّهَ وَحْدَهُ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَاتْرُكُوا مَا يَقُولُ آبَاؤُكُمْ، وَيَأْمُرُنَا بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ وَالصِّلَةِ‏.‏ فَقَالَ لِلتَّرْجُمَانِ قُلْ لَهُ سَأَلْتُكَ عَنْ نَسَبِهِ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ فِيكُمْ ذُو نَسَبٍ، فَكَذَلِكَ الرُّسُلُ تُبْعَثُ فِي نَسَبِ قَوْمِهَا، وَسَأَلْتُكَ هَلْ قَالَ أَحَدٌ مِنْكُمْ هَذَا الْقَوْلَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقُلْتُ لَوْ كَانَ أَحَدٌ قَالَ هَذَا الْقَوْلَ قَبْلَهُ لَقُلْتُ رَجُلٌ يَأْتَسِي بِقَوْلٍ قِيلَ قَبْلَهُ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، قُلْتُ فَلَوْ كَانَ مِنْ آبَائِهِ مِنْ مَلِكٍ قُلْتُ رَجُلٌ يَطْلُبُ مُلْكَ أَبِيهِ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ كُنْتُمْ تَتَّهِمُونَهُ بِالْكَذِبِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ مَا قَالَ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، فَقَدْ أَعْرِفُ أَنَّهُ لَمْ يَكُنْ لِيَذَرَ الْكَذِبَ عَلَى النَّاسِ وَيَكْذِبَ عَلَى اللَّهِ، وَسَأَلْتُكَ أَشْرَافُ النَّاسِ اتَّبَعُوهُ أَمْ ضُعَفَاؤُهُمْ فَذَكَرْتَ أَنَّ ضُعَفَاءَهُمُ اتَّبَعُوهُ، وَهُمْ أَتْبَاعُ الرُّسُلِ، وَسَأَلْتُكَ أَيَزِيدُونَ أَمْ يَنْقُصُونَ فَذَكَرْتَ أَنَّهُمْ يَزِيدُونَ، وَكَذَلِكَ أَمْرُ الإِيمَانِ حَتَّى يَتِمَّ، وَسَأَلْتُكَ أَيَرْتَدُّ أَحَدٌ سَخْطَةً لِدِينِهِ بَعْدَ أَنْ يَدْخُلَ فِيهِ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الإِيمَانُ حِينَ تُخَالِطُ بَشَاشَتُهُ الْقُلُوبَ، وَسَأَلْتُكَ هَلْ يَغْدِرُ فَذَكَرْتَ أَنْ لاَ، وَكَذَلِكَ الرُّسُلُ لاَ تَغْدِرُ، وَسَأَلْتُكَ بِمَا يَأْمُرُكُمْ، فَذَكَرْتَ أَنَّهُ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تَعْبُدُوا اللَّهَ، وَلاَ تُشْرِكُوا بِهِ شَيْئًا، وَيَنْهَاكُمْ عَنْ عِبَادَةِ الأَوْثَانِ، وَيَأْمُرُكُمْ بِالصَّلاَةِ وَالصِّدْقِ وَالْعَفَافِ‏.‏ فَإِنْ كَانَ مَا تَقُولُ حَقًّا فَسَيَمْلِكُ مَوْضِعَ قَدَمَىَّ هَاتَيْنِ، وَقَدْ كُنْتُ أَعْلَمُ أَنَّهُ خَارِجٌ، لَمْ أَكُنْ أَظُنُّ أَنَّهُ مِنْكُمْ، فَلَوْ أَنِّي أَعْلَمُ أَنِّي أَخْلُصُ إِلَيْهِ لَتَجَشَّمْتُ لِقَاءَهُ، وَلَوْ كُنْتُ عِنْدَهُ لَغَسَلْتُ عَنْ قَدَمِهِ‏.‏ ثُمَّ دَعَا بِكِتَابِ رَسُولِ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم الَّذِي بَعَثَ بِهِ دِحْيَةُ إِلَى عَظِيمِ بُصْرَى، فَدَفَعَهُ إِلَى هِرَقْلَ فَقَرَأَهُ فَإِذَا فِيهِ بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ‏.‏ مِنْ مُحَمَّدٍ عَبْدِ اللَّهِ وَرَسُولِهِ إِلَى هِرَقْلَ عَظِيمِ الرُّومِ‏.‏ سَلاَمٌ عَلَ

อับดุลลอฮ์ อิบนิ อับบาส ได้บอกกับเขา (ผู้รายงาน)ว่า อบูซุฟยาน บินฮัรบ์ ได้บอกกับเขาว่า จักรพรรดิ์ เฮราคลิอุส (แห่งโรมัน) ทรงรับสั่งให้เรียกเขากับขบวนพ่อค้าจากกุรอยซ์ที่ไปค้าขายยังแคว้นชาม (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศชีเรีย,ปาเลสไตน์,เลบานอน และจอร์แดน) ให้เข้าเฝ้าขณะนั้นเป็นช่วงระยะเวลาของการทำสัญญาสงบศึกที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ทำไว้กับ อบูซุฟยานและชาวกุรอยช์ที่ปฏิเสธการศรัทธา ดังนั้นพวกเขา (อบูซุฟยานกับพวก) จึงไปเข้าเฝ้าพระองค์ ณ.เมืองอีลียาอ์ (ปัจจุบันคือกรุงเยรูซาเล็ม) โดยพระองค์ได้เชิญพวกเขาไปที่ท้องพระโรง ที่นั่นมีบรรดาอำมาตย์โรมันรายล้อมพระองค์อยู่, พระองค์ทรงรับสั่งเรียกพวกเขาเข้าพบพร้อมทั้งรับสั่งให้เรียกล่ามของพระองค์มาด้วย พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่มีเชื้อสายใกล้ชิดมากที่สุดกับชายผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นนบี อบูซุฟยานได้ตอบว่า ฉันมีเชื้อสายใกล้ชิดกับเขามากที่สุด พระองค์ตรัสว่า ให้เขา (อบูซุฟยาน) เข้ามาใกล้ๆข้า และให้พรรคพวกของเขาเข้ามาด้วยแต่ให้อยู่ด้านหลัง แล้วพระองค์ก็ตรัสกับล่ามของพระองค์ว่า บอกกับพวกเขาซิว่า ข้าจะถามพวกเขาเกี่ยวกับชายผู้นี้ (คือถามเกี่ยวกับท่านนบี) ถ้าเขา (อบูซุฟยาน) ตอบข้าด้วยความมดเท็จ ก็ให้พรรคพวกของเขาแย้งว่าเขาพูดเท็จ เขากล่าวว่า หากไม่ใช่เพราะความอายที่เกรงว่าพรรคพวกของฉันจะประณามฉันละก็ ฉันก็คงโกหกในเรื่องของท่านนบีไปแล้ว คำถามแรกที่พระองค์ทรงถามฉันด้วยการตรัสว่า ชาติตระกูลของเขา (ท่านนบี) ในหมู่พวกเจ้าเป็นเช่นใด ฉันตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงในหมู่พวกเรา พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเจ้าเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรพบุรุษของเขาเคยมีใครเป็นกษัตริย์ไหม ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า บรรดาผู้ที่ภักดีต่อเขานั้นเป็นคนชั้นสูงหรือคนระดับล่าง ฉันตอบว่า พวกเขาเป็นคนระดับล่าง พระองค์ตรัสว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือลดลง ฉันตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้น พระองค์ตรัสว่า มีใครในหมู่พวกเขาที่ออกจากศาสนาเนื่องจากไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาพูดเท็จก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีหรือไม่ ฉันตอบว่า ไม่มีครับ พระองค์ตรัสว่า เขาเคยผิดสัญญาไหม ฉันตอบว่า ไม่เคยครับ ขณะนี้พวกเรากับเขาอยู่ระหว่างสัญญาสงบศึก แต่เราไม่รู้ว่า ต่อไปเขาจะละเมิดสัญญาหรือไม่ เขา (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า ฉันไม่สามารถที่จะสอดแทรกคำพูดใดๆ ที่เป็นเท็จได้เลย พระองค์ถามต่อว่า พวกเจ้าเคยทำสงครามกับเขาไหม ฉันตอบว่า เคยครับ พระองค์ตรัสว่า แล้วผลเป็นเช่นใดบ้าง ฉันตอบว่า บางครั้งเขาก็มีชัยชนะเหนือพวกเรา และบางครั้งเราก็มีชัยชนะเหนือเขา พระองค์ตรัสว่า เขาใช้ให้พวกเจ้าทำอะไรบ้าง ฉันตอบว่า เขาบอกกับพวกเราว่า จงสักการะต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวและอย่าได้นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์ และพวกเจ้าจงละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเจ้ากล่าวกัน เขาใช้เราให้ทำละหมาด,ให้พูดความจริง, รู้จักให้อภัย, และให้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ พระองค์ได้ตรัสแก่ล่ามของพระองค์ว่า บอกเขาซิว่า ที่ข้าถามเจ้าเกี่ยวกับเชื้อสายวงศ์วานของเขา แล้วเจ้าตอบว่า เขามีชาติตระกูลสูงศักดิ์ นั่นแหละ (ชาติตระกูลของ) บรรดาศาสนทูตทุกคนที่ถูกส่งมาท่ามกลางกลุ่มชนที่มีชาติตระกูลสูง และที่ข้าถามเจ้าว่า ในหมู่พวกเจ้าเคยมีใครเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้ไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี, ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า หากมีใครสักคนเคยเรียกร้องเพื่อสิ่งนี้มาก่อน ฉันก็จะบอกว่า เขาเพียงแค่เรียกร้องตามที่ (วงศ์วานของเขา) ได้เรียกร้องมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า บรรพบุรุษของเขามีใครเคยเป็นกษัตริย์ไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคยมี, ฉัน (อบูซุฟยาน) กล่าวว่า หากบรรพบุรุษคนใดของเขาเคยเป็นกษัตริย์ ฉันก็จะบอกว่า เขาเรียกร้องสิทธิ์เพื่อการเป็นกษัตริย์ตามบรรพบุรุษ พระองค์ตรัสว่า เมื่อข้าถามเจ้าว่า พวกเจ้าเคยกล่าวหาว่าเขาโกหกก่อนหน้าที่เขาจะอ้างว่าเป็นนบีไหม เจ้าก็ตอบว่า ไม่เคย ฉัน (อบูซุฟยาน) จึงรู้ว่า ผู้ที่ไม่เคยโกหกต่อมนุษย์จะเป็นผู้อ้างเท็จต่ออัลลอฮ์ได้อย่างไร พระองค์ตรัสว่า ที่ข้าถามเจ้าว่า ผู้ที่เชื่อตามเขาเป็นชนชั้นสูงหรือเป็นคนระดับล่าง เจ้าก็ตอบว่า เป็นคนระดับล่าง คนอย่างนี้แหละที่ปฏิบัติตามบรรดารอซูล, พระองค์ตรัสว่า และที่ข้าถามเจ้าว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง เจ้าก็ตอบว่า พวกเขามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้แหละคือเรื่องราวของการศรัทธาจนกว่ามันจะครบถ้วนสมบูรณ์ และที่ข้าถามเจ้าว่า มีคนใดที่ออกจากศาสนาด้วยความไม่พอใจหลังจากที่ได้ศรัทธาแล้วหรือไม่ เจ้าก็ตอบว่า ไม่มี นี่แหละคือความปิติยินดีที่ฝังรากลึกในหัวใจ แล

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
94.

หมายเลขฐานข้อมูล 177

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، قَالَ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَجْوَدَ النَّاسِ، وَكَانَ أَجْوَدُ مَا يَكُونُ فِي رَمَضَانَ حِينَ يَلْقَاهُ جِبْرِيلُ، وَكَانَ يَلْقَاهُ فِي كُلِّ لَيْلَةٍ مِنْ رَمَضَانَ فَيُدَارِسُهُ الْقُرْآنَ، فَلَرَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم أَجْوَدُ بِالْخَيْرِ مِنَ الرِّيحِ الْمُرْسَلَةِ‏

"ท่านรอซูลุ้ลลออ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่โอบอ้อมอารีย์ที่สุดในหมู่มนุษย์ โดยเฉพาะในเดือนรอมฏอน ท่านจะเอื้อเฟื้อเพื่อแผ่มากที่สุด ขณะที่ญิบรีลมาพบท่าน โดยเขาจะมาพบกับท่านทุกคืนในเดือนรอมฏอน และทบทวนอัลกุรอานกับท่าน ฉะนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จะใจบุญในความดีมากยิ่งกว่าลมโชย"

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
95.

หมายเลขฐานข้อมูล 176

حَدَّثَنَا سَعِيدُ بْنُ جُبَيْرٍ، عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ، فِي قَوْلِهِ تَعَالَى ‏{‏لاَ تُحَرِّكْ بِهِ لِسَانَكَ لِتَعْجَلَ بِهِ‏}‏ قَالَ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يُعَالِجُ مِنَ التَّنْزِيلِ شِدَّةً، وَكَانَ مِمَّا يُحَرِّكُ شَفَتَيْهِ ـ فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ فَأَنَا أُحَرِّكُهُمَا لَكُمْ كَمَا كَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يُحَرِّكُهُمَا‏.‏ وَقَالَ سَعِيدٌ أَنَا أُحَرِّكُهُمَا كَمَا رَأَيْتُ ابْنَ عَبَّاسٍ يُحَرِّكُهُمَا‏.‏ فَحَرَّكَ شَفَتَيْهِ ـ فَأَنْزَلَ اللَّهُ تَعَالَى ‏{‏لاَ تُحَرِّكْ بِهِ لِسَانَكَ لِتَعْجَلَ بِهِ* إِنَّ عَلَيْنَا جَمْعَهُ وَقُرْآنَهُ‏}‏ قَالَ جَمْعُهُ لَهُ فِي صَدْرِكَ، وَتَقْرَأَهُ ‏{‏فَإِذَا قَرَأْنَاهُ فَاتَّبِعْ قُرْآنَهُ‏}‏ قَالَ فَاسْتَمِعْ لَهُ وَأَنْصِتْ ‏{‏ثُمَّ إِنَّ عَلَيْنَا بَيَانَهُ‏}‏ ثُمَّ إِنَّ عَلَيْنَا أَنْ تَقْرَأَهُ‏.‏ فَكَانَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم بَعْدَ ذَلِكَ إِذَا أَتَاهُ جِبْرِيلُ اسْتَمَعَ، فَإِذَا انْطَلَقَ جِبْرِيلُ قَرَأَهُ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم كَمَا قَرَأَهُ‏.‏

รายงานจากซะอี๊ดบินญุบัยร์ จากอิบนิอับบาส ในการอธิบายคำดำรัสของพระองค์อัลลอฮ์ที่ว่า “เจ้าอย่าได้กระดิกลิ้นของเจ้าเกี่ยวกับอัลกุรอาน เพื่อรีบท่องจำมัน” (อัลกิยามะห์ อายะห์ที่ 16) เขากล่าวว่า "ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม มีประสบกับความลำบากยิ่งขณะวะฮีย์ประทานลงมาในการขยับริมฝีปากของท่าน (เพื่อท่องจำ) อิบนุอับบาสกล่าวว่า ฉันขยับริมฝีปากของฉันให้เจ้าดู ดั่งที่ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ขยับริมฝีปากของท่าน และซะอี๊ดได้กล่าวว่า ฉันกจะขยับริมฝีปากของฉันเหมือนดั่งที่ฉันเห็น อิบนุอับบาส ได้ทำแล้วเขาก็ขยับริมฝีปากของเขาให้ดู พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงประทานอายะห์นี้มาคือ “เจ้าอย่าได้กระดิกลิ้นของเจ้าเกี่ยวกับอัลกุรอาน เพื่อรีบท่องจำมัน แท้จริงเป็นหน้าที่ของเราในการรวมรวมมัน และการอ่านเพื่อให้จดจำ” เขา (อิบนิอับบาส) กล่าวว่า หมายถึงการรวบรวมมันแก่เจ้าในทรวงอกของเจ้าและเจ้าก็จะอ่านมันได้ ฉะนั้นเมื่อเราได้อ่านมันให้แก่เจ้า ก็จงตามการอ่านนั้น เขา (อิบนิอับบาส) กล่าวว่า หมายถึง ให้ฟังอย่างสงบแท้จริงเป็นหน้าที่ของเราในการแจกแจงอัลกุรอาน หมายถึงเป็นหน้าที่ของเราในการอ่านมัน หลังจากนั้นเมื่อญิบรีลได้นำวะฮีย์มาให้ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ท่านก็จะฟัง แต่เมื่อญิบรีลได้กลับไปท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ก็จะอ่านมันเช่นเดียวกับที่ญิบรีลอ่านให้ท่านฟัง"

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
96.

หมายเลขฐานข้อมูล 175

أَنَّ جَابِرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ الأَنْصَارِيَّ، قَالَ ـ وَهُوَ يُحَدِّثُ عَنْ فَتْرَةِ الْوَحْىِ، فَقَالَ ـ فِي حَدِيثِهِ ‏"‏ بَيْنَا أَنَا أَمْشِي، إِذْ سَمِعْتُ صَوْتًا، مِنَ السَّمَاءِ، فَرَفَعْتُ بَصَرِي فَإِذَا الْمَلَكُ الَّذِي جَاءَنِي بِحِرَاءٍ جَالِسٌ عَلَى كُرْسِيٍّ بَيْنَ السَّمَاءِ وَالأَرْضِ، فَرُعِبْتُ مِنْهُ، فَرَجَعْتُ فَقُلْتُ زَمِّلُونِي‏.‏ فَأَنْزَلَ اللَّهُ تَعَالَى ‏{‏يَا أَيُّهَا الْمُدَّثِّرُ * قُمْ فَأَنْذِرْ‏}‏ إِلَى قَوْلِهِ ‏{‏وَالرُّجْزَ فَاهْجُرْ‏}‏ فَحَمِيَ الْوَحْىُ وَتَتَابَعَ ‏"‏‏

ท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์ อัลอันศอรีย์ ได้รายงานในขณะกล่าวถึงเรื่องช่วงเว้นว่างของวะฮีย์ โดยกล่าวถึงคำพูดของท่านนบีว่า "ขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่ ทันใดนั้นฉันได้ยินเสียงจากฟากฟ้า เมื่อฉันเงยหน้ามองก็พบว่า เป็นมะลักที่เคยมาหาฉันที่ถ้ำฮิรออ์ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน ฉันกลัวเขามาก ดังนั้นฉันจึงรีบกลับไปบ้านโดยที่ฉันกล่าวว่า เอาผ้ามาห่มให้ฉัน ! เอาผ้ามาห่มให้ฉัน ! แล้วพระองค์อัลลอฮ์ก็ได้ประทานอายะห์นี้ลงมา “โอ้ผู้ที่คลุมกายเอ๋ย จงลุกขึ้นและตักเตือนเถิด และจงประกาศความเกรียงไกรแห่งองค์อภิบาลของเจ้า โดยเสื้อผ้าของเจ้าต้องทำให้สะอาด และสิ่งโสมมทั้งหลายก็จงออกห่าง” หลังจากนั้นวะฮีย์ก็มีมาบ่อยครั้งและต่อเนื่อง"

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
97.

หมายเลขฐานข้อมูล 174

حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ بُكَيْرٍ، قَالَ حَدَّثَنَا اللَّيْثُ، عَنْ عُقَيْلٍ، عَنِ ابْنِ شِهَابٍ، عَنْ عُرْوَةَ بْنِ الزُّبَيْرِ، عَنْ عَائِشَةَ أُمِّ الْمُؤْمِنِينَ، أَنَّهَا قَالَتْ أَوَّلُ مَا بُدِئَ بِهِ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم مِنَ الْوَحْىِ الرُّؤْيَا الصَّالِحَةُ فِي النَّوْمِ، فَكَانَ لاَ يَرَى رُؤْيَا إِلاَّ جَاءَتْ مِثْلَ فَلَقِ الصُّبْحِ، ثُمَّ حُبِّبَ إِلَيْهِ الْخَلاَءُ، وَكَانَ يَخْلُو بِغَارِ حِرَاءٍ فَيَتَحَنَّثُ فِيهِ ـ وَهُوَ التَّعَبُّدُ ـ اللَّيَالِيَ ذَوَاتِ الْعَدَدِ قَبْلَ أَنْ يَنْزِعَ إِلَى أَهْلِهِ، وَيَتَزَوَّدُ لِذَلِكَ، ثُمَّ يَرْجِعُ إِلَى خَدِيجَةَ، فَيَتَزَوَّدُ لِمِثْلِهَا، حَتَّى جَاءَهُ الْحَقُّ وَهُوَ فِي غَارِ حِرَاءٍ، فَجَاءَهُ الْمَلَكُ فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ قَالَ ‏"‏ مَا أَنَا بِقَارِئٍ ‏"‏‏.‏ قَالَ ‏"‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ قُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ‏.‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّانِيَةَ حَتَّى بَلَغَ مِنِّي الْجَهْدَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ اقْرَأْ‏.‏ فَقُلْتُ مَا أَنَا بِقَارِئٍ‏.‏ فَأَخَذَنِي فَغَطَّنِي الثَّالِثَةَ، ثُمَّ أَرْسَلَنِي فَقَالَ ‏{‏اقْرَأْ بِاسْمِ رَبِّكَ الَّذِي خَلَقَ * خَلَقَ الإِنْسَانَ مِنْ عَلَقٍ * اقْرَأْ وَرَبُّكَ الأَكْرَمُ‏}‏ ‏"‏‏.‏ فَرَجَعَ بِهَا رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم يَرْجُفُ فُؤَادُهُ، فَدَخَلَ عَلَى خَدِيجَةَ بِنْتِ خُوَيْلِدٍ رضى الله عنها فَقَالَ ‏"‏ زَمِّلُونِي زَمِّلُونِي ‏"‏‏.‏ فَزَمَّلُوهُ حَتَّى ذَهَبَ عَنْهُ الرَّوْعُ، فَقَالَ لِخَدِيجَةَ وَأَخْبَرَهَا الْخَبَرَ ‏"‏ لَقَدْ خَشِيتُ عَلَى نَفْسِي ‏"‏‏.‏ فَقَالَتْ خَدِيجَةُ كَلاَّ وَاللَّهِ مَا يُخْزِيكَ اللَّهُ أَبَدًا، إِنَّكَ لَتَصِلُ الرَّحِمَ، وَتَحْمِلُ الْكَلَّ، وَتَكْسِبُ الْمَعْدُومَ، وَتَقْرِي الضَّيْفَ، وَتُعِينُ عَلَى نَوَائِبِ الْحَقِّ‏.‏ فَانْطَلَقَتْ بِهِ خَدِيجَةُ حَتَّى أَتَتْ بِهِ وَرَقَةَ بْنَ نَوْفَلِ بْنِ أَسَدِ بْنِ عَبْدِ الْعُزَّى ابْنَ عَمِّ خَدِيجَةَ ـ وَكَانَ امْرَأً تَنَصَّرَ فِي الْجَاهِلِيَّةِ، وَكَانَ يَكْتُبُ الْكِتَابَ الْعِبْرَانِيَّ، فَيَكْتُبُ مِنَ الإِنْجِيلِ بِالْعِبْرَانِيَّةِ مَا شَاءَ اللَّهُ أَنْ يَكْتُبَ، وَكَانَ شَيْخًا كَبِيرًا قَدْ عَمِيَ ـ فَقَالَتْ لَهُ خَدِيجَةُ يَا ابْنَ عَمِّ اسْمَعْ مِنَ ابْنِ أَخِيكَ‏.‏ فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ يَا ابْنَ أَخِي مَاذَا تَرَى فَأَخْبَرَهُ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم خَبَرَ مَا رَأَى‏.‏ فَقَالَ لَهُ وَرَقَةُ هَذَا النَّامُوسُ الَّذِي نَزَّلَ اللَّهُ عَلَى مُوسَى صلى الله عليه وسلم يَا لَيْتَنِي فِيهَا جَذَعًا، لَيْتَنِي أَكُونُ حَيًّا إِذْ يُخْرِجُكَ قَوْمُكَ‏.‏ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم ‏"‏ أَوَمُخْرِجِيَّ هُمْ ‏"‏‏.‏ قَالَ نَعَمْ، لَمْ يَأْتِ رَجُلٌ قَطُّ بِمِثْلِ مَا جِئْتَ بِهِ إِلاَّ عُودِيَ، وَإِنْ يُدْرِكْنِي يَوْمُكَ أَنْصُرْكَ نَصْرًا مُؤَزَّرًا‏.‏ ثُمَّ لَمْ يَنْشَبْ وَرَقَةُ أَنْ تُوُفِّيَ وَفَتَرَ الْوَحْىُ‏.‏

ท่านหญิงอาอิชะห์ (มารดาแห่งศรัทธาชน) ได้กล่าวว่า "เริ่มแรกของวะฮีย์ที่มีมายังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในรูปของการฝันดีในยามหลับ ซึ่งสิ่งที่ท่านฝันเห็นนั้นเป็นดั่งแสงอรุณยามเช้า หลังจากนั้นท่านจะชอบอยู่ตามลำพัง โดยปลีกตัวไปอยู่ที่ถ้ำฮิรออ์ และที่นั่น ท่านได้ทำการวิงวอน คือการเคารพภักดี หลายคืนอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ท่านจะกลับมาหาครอบครัว และเตรียมเสบียง หลังจากนั้นท่านได้กลับมาหาท่านหญิงคอดิญะห์ เพื่อนำเสบียงกลับไปใหม่ จนกระทั่งสัจธรรมได้มายังท่านขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำฮิรออ์ โดยมะลักได้มาหาท่านแล้วกล่าวว่า จงอ่าน ท่านตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น ท่านกล่าวว่า เขาจับฉันและบีบฉันอย่างแรงจนฉันทนแทบไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้บีบฉันอีกเป็นครั้งที่สองจนกระทั่งฉันทนไม่ไหว เขาจึงได้ปล่อย แล้วกล่าวว่า จงอ่าน ฉันตอบว่า ฉันอ่านไม่เป็น เขาได้จับและบีบฉันอย่างแรงเป็นครั้งที่สามแล้วจึงปล่อย และกล่าวว่า “จงอ่านด้วยนามแห่งองค์อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และองค์อภิบาลของเจ้าผู้ทรงเอื้ออารีย์” หลังจากนั้นท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมได้กลับมาพร้อมกับเรื่องราวเหล่านี้ด้วยหัวใจที่ตื่นตระหนก ท่านได้ไปหาท่านหญิงคอดิญะห์ บุตรสาวของ คุวัยวิด (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อนางด้วยเถิด) แล้วกล่าวว่า เอาผ้ามาคลุมฉัน! เอาผ้ามาคลุมฉัน! พวกเขาเอาผ้ามาคลุมท่านจนกระทั่งความหวาดกลัวได้คลายไปจากท่าน แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านหญิงคอดิญะห์ทราบ ท่านกล่าวว่า ฉันกลัวว่าอาจจะเกิดเหตุบางอย่างกับฉัน ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวว่า มิได้เป็นเช่นนั้นหรอก ขอสาบานต่อพระองค์อัลลอฮ์, พระองค์อัลลอฮ์จะมิทรงให้ท่านระทมอย่างแน่นอน เพราะท่านได้สัมพันธ์ดีต่อเครือญาติ และแบกภาระของคนยากจน ท่านขวนขวายเพื่อคนอนาถา ท่านช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านเป็นปากเป็นเสียงแทนพวกเขาเหล่านั้น แล้วท่านหญิงคอดิญะห์ก็พาท่านนบีไปพบกับวะรอเกาะห์ อิบนุเนาว์ฟัล อิบนุอะซัด อิบนุอับดิลอุซซา เขาเป็นลูกผู้พี่ของท่านหญิงคอดิญะห์ และเข้ารีตศาสนาคริสต์ ในสมัยญาฮิลียะห์ (ยุคก่อนการประกาศอิสลามของท่านนบี) เขาเคยเขียนคัมภีร์ภาษายิว เขาคัดลอกคัมภีร์อินญีลเป็นภาษายิว ตามพระประสงค์แห่งอัลลอฮ์ที่ให้เขาเขียน เวลานั้นเขาแก่มากและตาพร่ามัว ท่านหญิงคอดิญะห์ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ลูกผู้พี่ของฉัน โปรดฟังหลานของท่านด้วยเถิด วะรอเกาะได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า โอ้หลานเอ๋ย เจ้าเห็นอะไรหรือ ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์จึงได้บอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทราบ ทันใดนั้นวะรอเกาะห์ก็กล่าวขึ้นว่า นี่คือผู้กุมความลับที่พระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งมาพบนบีมูซาก่อนหน้านี้แล้ว ฉันอยากกลับไปเป็นหนุ่มอีก ฉันอยากมีชีวิตอยู่ขณะที่กลุ่มชนของเจ้าขับไล่เจ้า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า พวกเขาจะขับไล่ฉันอย่างนั้นหรือ เขาตอบว่า ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดที่ได้รับอย่างที่เจ้าได้รับนอกจากเขาจะถูกนับเป็นศัตรู และหากฉันยังคงมีชีวิตอยู่ถึงวันที่เจ้าถูกนับเป็นศัตรูแล้วฉันจะให้ความช่วยเจ้าอย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นไม่นานวะรอเกาะฮ์ก็เสียชีวิต และช่วงนั้นวะฮีย์ก็ขาดตอนไประยะหนึ่ง"

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
98.

หมายเลขฐานข้อมูล 173

أَنَّ الحَارِثَ بْنَ هِشَامٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ سَأَلَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ: يَا رَسُولَ اللَّهِ، كَيْفَ يَأْتِيكَ الوَحْيُ؟ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «أَحْيَانًا يَأْتِينِي مِثْلَ صَلْصَلَةِ الجَرَسِ، وَهُوَ أَشَدُّهُ عَلَيَّ، فَيُفْصَمُ عَنِّي وَقَدْ وَعَيْتُ عَنْهُ مَا قَالَ، وَأَحْيَانًا يَتَمَثَّلُ لِيَ المَلَكُ رَجُلًا فَيُكَلِّمُنِي فَأَعِي مَا يَقُولُ» قَالَتْ عَائِشَةُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهَا: وَلَقَدْ رَأَيْتُهُ يَنْزِلُ عَلَيْهِ الوَحْيُ فِي اليَوْمِ الشَّدِيدِ البَرْدِ، فَيَفْصِمُ عَنْهُ وَإِنَّ جَبِينَهُ لَيَتَفَصَّدُ عَرَقًا

อัลหาริษ อิบนุฮิชาม-เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ- ได้ถามเราะซูลุลลอฮฺศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม- เขากล่าวว่า " โอ้เราะซูลุลลอฮฺ วะหฺยุได้ประทานมาแก่ท่านอย่างไร? " เราะซูลุลลอฮฺ-ศ็อลฯ- ได้กล่าวว่า "บางครั้งมาหาฉันในเหมือนเสียงกระดิ่ง ซึ่งมันหนักที่สุดสำหรับฉัน และฉันได้จดจำในสิ่งที่เขาบอก บางครั้งจะมาในลักษณะมะลาอิกะฮฺที่แปลงร่างเป็นเสมือนชายหนุ่มพูดคุยกับฉัน แล้วฉันก็จดจำสิ่งที่เขาพูด" อาอีชะฮฺกล่าวว่า "ฉันได้เห็นวะหฺยุลงมายังนบีในวันที่อากาศหนาวมาก เมื่อมันคลายออกจากท่าน หน้าผากของท่านจะมีเหงื่อซึมออกมา

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด
99.

หมายเลขฐานข้อมูล 167

إِنَّمَا الْأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ، وَإِنَّمَا لِكُلِّ امْرِئٍ مَا نَوَى، فَمَنْ كَانَتْ هِجْرَتُهُ إِلَى دُنْيَا يُصِيبُهَا، أَوْ إِلَى امْرَأَةٍ يَنْكِحُهَا فَهِجْرَتُهُ إِلَى مَا هَاجَرَ إِلَيْهِ ".

“การงานต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับการตั้งใจ และทุกคนจะได้รับการตอบแทนตามที่เขาตั้งใจไว้ การอพยพของบุคคลใดเขาทำเพื่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ การอพยพของเขาก็จะเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์ และการอพยพของบุคคลใดทำเพื่อหวังผลจากสิ่งบนโลก หรือเพื่อหญิงที่ต้องการแต่งงานด้วย การอพยพของเขาก็จะเป็นไปตามเจตนาที่เขาได้อพยพมา”

บันทึกโดย บุคอรีย์

สถานะหะดีษ เศาะฮีฮฺ

ดูรายละเอียด

99 รายการ